ชวนอ่าน! เรื่องจริงของ Conjuring
หรือ คนเรียกผี ในตำนาน!
สวัสดีน้องๆ นักอ่านชาวเด็กดีทุกคนนะคะ อ่านจากหัวข้อบทความกันแล้ว ทุกคนคงสัมผัสได้ถึงความ ‘มาแปลก’ ของพี่ เพราะเล่นหยิบเอาภาพยนตร์สยองขวัญในตำนานอย่าง Conjuring หรือคนเรียกผีมาพูดถึงกัน หวังว่าน้องๆ นักเขียนที่เขียนเรื่องแนวๆ นี้อยู่คงได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานไปไม่มากก็น้อย ส่วนนักอ่านที่ชอบอ่านเรื่องผีๆ อย่างเราน่ะหรอ หึ! เห็นแค่คำว่า Conjuring ลอยมาก็ไม่พลาดแล้วล่ะจ้า (ฮา) เอาแหละ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาติดตามอ่านเรื่องราวชวนขนหัวลุกของ Conjuring ไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า…
Conjuring หรือชื่อภาษาไทยว่า คนเรียกผี เป็นภาพยนตร์ผลงานการกำกับของ เจมส์ แวน ที่ถูกให้ชื่อว่าเป็น ภาพยนตร์สยองขวัญที่ดีที่สุดในศตวรรษที่ 21 เพราะเป็นภาพยนตร์ที่เล่นกับความกลัวของมนุษย์เราได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสร้างมาจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง จนทำให้คนดูพากันตื่นตาตื่นใจกันใหญ่ แล้วที่บอกว่ามาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนั้น มันคืออะไร? เดี๋ยววันนี้พี่จะพาน้องๆ นักอ่านทุกคนไปแถลงไขเรื่องราวกันจ้า
ย้อนกลับไปในช่วงยุค 70 ได้มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง ถูกรบกวนด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่พวกเขาเจอเช่น สมาชิกบางคนถูกโยนออกจากเตียงตอนหลับ หรือบางคนถูกจูบที่หน้าผากในช่วงกลางดึก พวกเขาถูกรบกวนจากสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่พักใหญ่ จนพวกเขาพยายามที่จะหาคำตอบว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของพวกเขากันแน่ จนในที่สุดก็ได้รู้คำตอบว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่สมาชิกทุกคนกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ นั้นเป็นพลังของสิ่งชั่วร้ายที่มีชื่อว่า บัทเชบา เธเออร์!
บัทเชบา เธเออร์ เกิดที่รัฐโรดไอแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงอายุย่างเข้าปีที่ 30 ของเธอ เธอได้แต่งงานกับจัตสัน เชอร์แมน ก่อนที่จะมีลูกด้วยกันหนึ่งคนในอีกห้าปีต่อมา
เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันบัทเชบาจะง่วนไปกับการดูแลบ้าน รวมถึงลูกชาย แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อทารกที่อยู่ในความดูแลของเธอนั้นได้เสียชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว กลับพบรอยแผลที่กะโหลกศีรษะของทารก รอยแผลที่เป็นปริศนาและหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดมาจากอะไร
เพื่อนบ้านหลายคนต่างพากันตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กทารกเสียชีวิตนั้นเกิดมาจาก ตัวตนอีกด้านหนึ่งของบัทเชบา ที่พวกเขาเรียกมันว่า “ด้านชั่วร้าย” บ้างก็ว่ากันว่า เธอถูกสาปแช่ง เพราะบัทเชบาเป็นผู้หญิงที่สวย จนทำให้หญิงสาวคนอื่นพากันอิจฉาและสาปแช่งเธอ
แต่อย่างไรก็ตามในที่สุด บัทเชบาก็ได้ทำการจบชีวิตตัวเอง ไม่ใช่วิธีการผูกคอตาย หรือทำร้ายตัวเองเหมือนอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่เธอเสียชีวิตเพราะร่างกายที่อ่อนแอ โดยคุณหมอที่ได้ทำการพิสูจน์ศพของเธอได้พบกับเหตุการณ์อันน่าประหลาด เพราะศพของบัทเชบานั้นแตกต่างจากศพอื่นๆ ร่างกายของเธอนั้นแข็งเกร็ง ราวกับหิน ซึ่งพอเรื่องนี้ได้ถูกพูดออกไป เพื่อนบ้านหลายคนยิ่งเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างแน่นอน!
และหลังจากเธอได้เสียชีวิตลง บ้านของครอบครัวเธอได้ถูกนำไปขาย ก่อนที่จะตกมาอยู่ในมือของครอบครัวเพอร์รอนในเวลาต่อมา แต่แล้วไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ เพราะได้มีภาพถ่ายภาพหนึ่งถูกปล่อยออกมา โดยภาพที่ปรากฏอยู่บนรูปถ่ายรูปนั้นนอกจากคนอื่นๆ แล้วยังมี หญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งตัวด้วยชุดลายตารางหมากรุก ยืนอยู่ตรงกลางของภาพอีกคน ซึ่งหลายคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่อาจจะเป็นบัทเชบา เธเออร์ก็เป็นได้!
ก่อนที่ครอบครัวเพอร์รอนจะย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น สมาชิกในครอบครัวทุกคนเคยถูกให้คำแนะนำว่า “พวกเขาควรเปิดไฟไว้ตลอดทั้งคืน” มาก่อน
ทันทีที่ครอบครัวเพอร์รอนได้พากันย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ ได้มีเรื่องให้ประหลาดใจตั้งแต่ต้น เพราะเพื่อนบ้านของพวกเขาเคยให้คำแนะนำว่า “เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกในครอบครัวทุกคน พวกเขาควรเปิดไฟทิ้งไว้ตลอดทั้งคืน”
แต่นั่นไม่ได้ทำให้พวกเขาเอะใจหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งพวกเขาได้เจอเข้ากับเหตุการณ์ชวนผวา เมื่อสมาชิกในครอบครัวเริ่มถูกรบกวนโดยสิ่งที่มองไม่เห็นทีละคนๆ โดยเริ่มต้นจากของใช้ภายในบ้านที่ขยับเองได้ หรือแม้แต่เสียงประหลาดก็เคยได้ยินมาแล้วด้วย!
จากบทสัมภาษณ์ของ ซินเทีย เพอร์รอน (หรือซินดี้) ที่ได้พูดถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นภายในบ้านหลังนั้นว่า มันได้เกิดขึ้นมาตั้งนานมากแล้ว แต่ไม่เคยมีใครในครอบครัวพูดถึงมัน จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยจนเกือบสายเกินไป
“สิ่งของที่อยู่ในบ้านของเรามันเคลื่อนย้ายเองได้ มันย้ายจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง จนฉันทนไม่ไหวต้องขนพวกมันไปซ่อนไว้ที่ใต้เตียง ก่อนจะเดินไปถามจากบรรดาพี่น้องของฉันว่าพวกเธอได้เข้ามาทำอะไรกับของเล่นที่อยู่ในห้องของฉันไหม แต่คำตอบที่ฉันมักจะได้รับจากพวกเธอก็คือ ‘ไม่’ หลังจากนั้นฉันก็วางใจได้ไปสักพัก ก่อนที่เหตุการณ์เหล่านั้นจะย้อนกลับมาอีกครั้ง”
“สิ่งของที่อยู่ในบ้านของเรามันเคลื่อนย้ายเองได้ มันย้ายจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง จนฉันทนไม่ไหวต้องขนพวกมันไปซ่อนไว้ที่ใต้เตียง ก่อนจะเดินไปถามจากบรรดาพี่น้องของฉันว่าพวกเธอได้เข้ามาทำอะไรกับของเล่นที่อยู่ในห้องของฉันไหม แต่คำตอบที่ฉันมักจะได้รับจากพวกเธอก็คือ ‘ไม่’ หลังจากนั้นฉันก็วางใจได้ไปสักพัก ก่อนที่เหตุการณ์เหล่านั้นจะย้อนกลับมาอีกครั้ง”
สิ่งแรกที่เด็กๆ ในครอบครัวเพอร์รอนเจอนั่นก็คือ การประทับรอยจูบที่หน้าผากยามที่พวกเธอหลับ
หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านในฝันแล้ว สมาชิกในครอบครัวเพอร์รอนทุกคนต่างสัมผัสได้เหมือนกันว่า นอกจากพวกเขาแล้ว ภายในบ้านหลังนี้ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็น อาศัยอยู่ร่วมชายคากับพวกเขาอีกด้วย โดยเด็กๆ ในครอบครัวเพอร์รอนล้วนสัมผัสได้ถึงพลังในด้านดีของสิ่งๆ นั้นในตอนแรก เพราะพวกเธอถูกปฏิบัติอย่างดี มีการดูแลไม่ต่างจากเด็กที่ถูกเลี้ยงอย่างดีโดยพี่เลี้ยง โดยสิ่งที่พวกเธอทั้งห้าคนเจอเหมือนกัน นั่นก็คือการประทับรอยจูบที่หน้าผากยามที่พวกเธอทุกคนหลับ
ซินเทียและเอนเดรียหนึ่งในบรรดาลูกสาวทั้งห้าคนของครอบครัวได้เล่าถึงสถานการณ์ที่พวกเธอได้เจอกันมาว่า ในตอนแรกเธอคิดว่าคนที่มาหอมหน้าผากของเธอคือแม่ แต่น่าแปลกเพราะแม่ที่แท้จริงของเธอมีกลิ่นตัวเหมือนสบู่ยี่ห้อ Ivory ผิดกับคนๆ นั้นที่มีกลิ่นคล้ายกับดอกไม้และผลไม้
หลังจากที่เด็กๆ ในครอบครัวสัมผัสถึงพลังในด้านที่ดีแล้ว พวกเธอก็เริ่มสัมผัสถึงพลังในด้านที่ไม่ดีเช่นเดียวกัน
หลังจากเหล่าเด็กสาวจากครอบครัวเพอร์รอนได้เรียนรู้ถึงการอยู่ร่วมกับสิ่งที่มองไม่เห็นตนนั้นแล้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่ครอบครัวเพอร์รอนได้ริเริ่มงานด้านฟาร์มขึ้นมา และนั่นไม่รู้ว่าเป็นสาเหตุของการปรากฏตัวของสิ่งที่มองไม่เห็นในอีกด้านหนึ่งหรือเปล่า? แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เด็กๆ จากครอบครัวนี้ถูกสิ่งที่มองไม่เห็นทำร้ายร่างกายตอนกำลังเล่นกันอยู่ที่โรงนา แถมสิ่งๆ นั้นยังพยายามที่จะสื่อสารกับพวกเธอผ่านผนังห้อง เอนเดรียได้เล่าว่ามีอยู่คืนหนึ่ง ซินดี้ (หรือซินเทีย) ได้ปืนเข้ามาบนเตียงของเธอ พร้อมกับทำท่าเหมือนบังคับให้เธอฟังเรื่องราวอันเลวร้ายที่เธอได้ยินมาจากสิ่งที่มองไม่เห็นตนนั้น
โดยซินดี้ได้พูดกับเธอว่า “แอนนี่ (หรือเอนเดรีย) ฉันได้ยินเสียงพวกนั้น มันเป็นเสียงๆ เดียว แต่มาจากคนหลายคน และมันก็พยายามพูดคำๆ นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า วกไปวนมา”
เอนเดรียได้ฟังดังนั้นเลยถามเธอกลับไปว่า “ที่รัก นั่นเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่” ซึ่งคำตอบที่ซินเทียได้ตอบเธอ เป็นคำตอบที่เธอจำได้ไม่มีลืม...
“พวกเขาเป็นนายทหารเจ็ดคนที่ถูกฝังไว้หลังกำแพงนี้!”
ระหว่างที่เอนเดรียกับซินเทียพยายามตามล่าหาความจริงในข้อนี้ ก็ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับพวกเธอและพี่น้องอีก 3 คน โดยคืนหนึ่งเป็นเวลาประมาณตีห้าสิบห้านาที พวกเธอได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้กลิ่นของ ‘เนื้อเหม็นเน่า’ โชยเข้ามาในห้อง ก่อนที่พวกเธอจะถูกโยนลงจากเตียงทีละคนๆ พร้อมกับใบหน้าของผู้ชาย ที่เธอปฏิเสธจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายด้วยว่า “มันเป็นภาพที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา”
สิ่งที่มองไม่เห็นได้ขู่ครอบครัวเพอร์รอน ด้วยการทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสชาติของความตายและความเศร้าโศก
ในระหว่างที่บรรดาลูกๆ ของครอบครัวนี้ได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่มองไม่เห็นกันไปแล้ว เห็นทีว่าคราวนี้ได้ถึงตาของแคโรลีน เพอร์รอน ผู้เป็นแม่กันบ้าง โดยแคโรลีนได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อๆ หนึ่งว่า เธอสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของเธอ โดยเฉพาะตัวของเธอที่มีอยู่วันหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาแล้วพบกับหญิงชราที่มาร้องคร่ำครวญอยู่ที่ข้างเตียง พร้อมกับตะโกนไล่ว่า “ออกไป ออกไป ฉันจะทำให้พวกแกสัมผัสกับความตายและความเศร้า ถ้าพวกแกไม่ออกไป!”
หลายคนที่ได้ทราบข้อมูลนี้ต่างพากันตีความไปว่า หญิงชราคนนั้นอาจจะเป็นบัทเชบา ที่เคยเสียชีวิตอยู่ภายในบ้านหลังนี้ก็เป็นได้ (หรืออาจจะเป็นเตียงเดียวกับที่เธอนอนอยู่ด้วยซ้ำ!) และต้องบอกเลยว่านอกจากบัทเชบาแล้ว ภายในบ้านหลังนี้ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นล่องลอยอยู่มากมาย เอนเดรียผู้อยู่ในฐานะลูกสาวคนโตของบ้านได้กล่าวว่า “ไม่ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นใคร มันได้ทำให้เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แถมมันยังทำให้เธอเกลียดแม่ที่พาเธอกับน้องๆ เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้อีกด้วย”
เกิดความหายนะขึ้นกับครอบครัวเพอร์รอน เมื่อวิญญาณของบัทเชบา ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในร่างของแคโรลีน!
ในที่สุดครอบครัวเพอร์รอนก็ถูกวิญญาณของบัทเชบาทำร้ายเข้าจนได้ โดยผู้โชคร้ายคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแคโรลีนหรือแม่ของเด็กสาวทั้งห้านั่นเอง! แต่เริ่มแรกนั้นเธอและสมาชิกในครอบครัวทุกคนถูกทำร้ายร่างกายหลายอย่าง ทั้งถูกตี ถูกกระแทก หรือแม้แต่ถูกขังไว้ในห้องเองก็มี
โดยสมาชิกในครอบครัวเชื่อว่าบัทเชบาต้องการให้พวกเขาทุกคนย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ จนเมื่อคำเตือนไม่เป็นผล วิญญาณของบัทเชบาเลยเข้าสิงแคโรลีนในที่สุด บรรดาเด็กสาวทั้งห้าคนได้พูดถึงร่างกายแม่ของพวกเธอว่ามันเป็นอะไรที่โหดร้ายจนพวกเธอไม่สามารถทนดูได้ แถมมันยังทำให้ร่างกายของแคโรลีนทรุดโทรม อารมณ์ไม่คงที่จนแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลยหลังจากนั้น
และในที่สุดครอบครัวเพอร์รอนก็ได้รับการช่วยเหลือจากสองสามี - ภรรยา เอ็ด และลอร์เรน วอร์เรน
เรื่องที่น่าแปลกที่สุดตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ผีหญิงชรา หรือผีสิ่งของใดใดก็ตาม แต่กลับเป็นครอบครัววอร์เรนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้มากกว่า
โดยเอ็ด และลอร์เรน วอร์เรนได้รับการขนานนามว่าเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณและปีศาจ เชี่ยวชาญขนาดไหนน้องๆ ลองคิดดูก็แล้วกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นวิญญาณที่สิงอยู่ในตุ๊กตา หรือที่เราคุ้นเคยในชื่อแอนนาเบล หรือจะเป็นวิญญาณที่อยู่ในบ้านผีสิงอย่างอมิตี้วิล พวกเขาทั้งคู่ก็เคยจัดการมาแล้ว มันเลยแปลกก็ตรงที่ว่า สิ่งที่คนรอบตัวของครอบครัวเพอร์รอนคิดนั้นไม่ใช่เรื่องปัญหาสุขภาพจิต หรือปัญหาด้านครอบครัวใดใด แต่พวกเขากลับเพ่งเล็งไปที่จุดๆ เดียว ซึ่งนั่นก็คือ ‘ปีศาจ’
ครอบครัววอร์เรนได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือให้ไปสะสางปัญหาที่เกิดมาจากสิ่งที่มองไม่เห็นหลายฉบับ แต่ฉบับที่พวกเขาตั้งมั่นว่าจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเป็นอันดับแรกก็คือ เหตุการณ์สยองขวัญที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเพอร์รอน!
เอ็ด และลอร์เรน วอร์เรน แทบไม่ได้ช่วยเหลืออะไรครอบครัวเพอร์รอนเลยด้วยซ้ำ!
หลังจากแคโรลีนถูกวิญญาณของปีศาจร้ายเข้าสิง เลยกลายเป็นว่าคนในครอบครัวเพอร์รอนทุกคนได้ใกล้ชิด สนิทสนมกับสองสามีภรรยา เอ็ดและลอร์เรน วอร์เรนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลอร์เรน ผู้เป็นภรรยานั้นมีสัมผัสพิเศษอยู่ในตัว เธอเลยเพ่งจิตเข้าไปสื่อสารกับดวงวิญญาณที่อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนี่ โดยลอร์เรนได้อ้างว่า เธอได้ปรากฏตัวท่ามกลางความมืด อยู่ที่มุมใดสักมุมหนึ่งภายในบ้าน แต่เธอไม่ได้แสดงความพิเศษอะไรออกมา นอกเสียจากการพูดถึงการปรากฏตัวในความมืดแค่นั้น
สองสามี - ภรรยาวอร์เรนเลยได้ชักชวนแคโรลีนที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงในขณะนั้นมายังห้องใต้ดิน โดยคาดหวังว่าแคโรลีนจะนำทางพวกเขาไปหาคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดได้ในที่สุด แต่โชคร้ายเพราะทุกอย่างแลดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม โดยที่พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรครอบครัวเพอร์รอนได้เลย
ถึงแม้ว่าจะช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่ต้องนับว่าสติของลอร์เรน วอร์เรนนั้นอยู่ในจุดที่ดีมากๆ เพราะเธอค่อนข้างจะควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนกไปกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แถมยังพยายามช่วยเรียกสติให้กับคนอื่นๆ ที่พากันหวาดกลัวกับสถานการณ์อันเลวร้ายที่ได้เกิดขึ้นอีกด้วย เอนเดรีย เพอร์รอนได้เล่าเพิ่มเติมถึง ‘สถานการณ์เลวร้าย’ ให้คนอื่นฟังว่า แม่ของเธอเริ่มพูดภาษาที่คนทั่วไปไม่พูดกัน จนมันทำให้เธอกลัว เลยมองแม่ของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
คำสาปของบัทเชบายังคงตามหลอกหลอนพวกเขาอยู่ ถึงแม้ว่าจะรอดพ้นจากสถานการณ์อันเลวร้ายมาแล้วก็ตาม
จากข้อมูลการรายงานของครอบครัวเพอร์รอนนั้น เราได้พบข้อมูลที่น่าสนใจตรงที่ว่า ครอบครัวของพวกเขา ยังคงโดนคำสาปของบัทเชบาตามหลอกหลอนอยู่ แม้กระทั่งจะเป็นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Conjuring เองก็ตาม พวกเขายังโดนหลอก ถึงแม้ว่าจะเป็นการตั้งใจว่าจะแวะเวียนเข้าไปเยี่ยมสถานที่ถ่ายทำเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น โดยการ ‘หลอก’ ที่ว่านั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ แคโรลีนเกิดไม่สบายขึ้นมาระหว่างที่กำลังจะออกเดินทาง เธอได้ไข้ขึ้น หนาวจนตัวสั่น เลยส่งผลทำให้สภาพร่างกายของเธอย่ำแย่จนไม่สามารถเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำดังกล่าวได้
หรือแม้แต่เป็นการให้สัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังโดนวิญญาณของบัทเชบาเล่นงาน ยกตัวอย่างเช่น จู่ๆ ก็มีลมจากที่ไหนไม่รู้พัดเข้ามาลูกใหญ่ตรงหน้าของครอบครัวเพอร์รอน อีกทั้งกล้องที่ถ่ายทำดันเกิดหล่นขึ้นมาราวกับมีคนมาผลัก และยังไม่รวมถึงไฟที่ใช้ถ่ายทำอีกนับหลายต่อหลายดวงอีก โดยเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถูกได้ชื่อว่าเป็นผลกระทบของผู้ที่โดนคำสาปของบัทเชบาทั้งสิ้น
เอนเดรีย เพอร์รอนกล่าวว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศอันน่าขนลุกที่บ้านหลังนี้ ล้วนแต่มีอันเป็นไปที่จะต้องเจอกับประสบการณ์สุดสยอง!
แม้ว่าเราจะเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับบ้านผีสิงกันมามากแค่ไหนก็ตาม แต่ต้องบอกเลยว่าบ้านผีสิงที่เป็นแหล่งสิงสถิตย์ของพลังงานชั่วร้ายอย่างบ้านของครอบครัวเพอร์รอนหลังนี้ นั้นมีความแตกต่างจากเรื่องที่เราเคยได้ยินมาอย่างแน่นอน เพราะจากคำบอกเล่าของเอนเดรีย เพอร์รอนที่ได้เล่าว่า
ผู้อยู่อาศัยทุกคนต่างสัมผัสประสบการณ์นี้กันมาแล้วทั้งนั้น บางคนถึงขนาดกรีดร้องเสียงหลง ก่อนจะวิ่งหนีออกมาทั้งๆ ที่ข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ภายในบ้าน หรืออย่างเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ได้ทำการซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากครอบครัวของเธอก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าขนลุกเช่นเดียวกัน โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า
วันหนึ่งชายคนนั้นได้เดินทางมาจัดการธุระบางอย่างที่บ้านหลังนี้ ก่อนที่จะไม่มีใครได้พบเขาอีกเลย บ้านถูกทิ้งให้รกร้าง ไม่มีแม้แต่เสียงเครื่องยนต์ และไม่มีใครกล้ากลับมาอีก แถมในบริเวณโดยรอบซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของเพื่อนบ้านยังถูกทิ้งให้รกร้างเช่นเดียวกัน ไม่มีใครกล้าเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นอีกเลยเป็นปีๆ น้องๆ คิดดูแล้วกันว่าหลอนขนาดไหน
แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าของคนปัจจุบันอย่าง นอร์มาร์ ซุตคลิฟฟ์ ได้ให้ข้อมูลในอีกด้านหนึ่งว่า บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจอย่างที่ใครหลายคนได้ยินมา ถึงแม้ว่าเธอจะเคยเจอเหตุการณ์ประหลาดๆ อย่างเสียงฝีเท้า หรือแสงสีฟ้าที่วูบวาบตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้าน แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์ชนิดรุนแรงอย่างที่ครอบครัวเพอร์รอนเจอมาก่อนเลย (เอ๊ะหรือว่าเธอโชคดีกันแน่นะ?)
แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว บัทเชบาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ ที่ด่วนจากไปด้วยอาการของหลอดเลือดในสมองแตกเท่านั้น
อย่างที่เราทราบกันดีกว่า ปีศาจที่เราได้พูดถึงกันมาตั้งแต่ต้นนั้นมีชื่อว่า บัทเชบา เธเออร์ แถมครอบครัวผู้โชคร้ายที่ต้องมาเผชิญหน้ากับวิญญาณของเธอนั่นก็คือ ครอบครัวเพอร์รอน ซึ่งคนที่โดนหนักสุดเห็นทีว่าจะหนีไม่พ้น แคโรลีน เพอร์รอน ผู้เป็นแม่ ที่ถูกวิญญาณของบัทเชบาเข้าสิง อีกทั้งยังคอยตามเธอไปทุกหนทุกแห่งอีกต่างหาก
แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้วบัทเชบาอาจจะไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรอย่างนั้นหรอก จริงไหม? อันนี้เราก็ไม่สามารถเชื่อได้ 100% ว่าใครเป็นคนดี หรือคนไม่ดี หรือแม้แต่ปีศาจที่ครอบครัวเพอร์รอนได้เจอ ความจริงมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราทุกคนกำลังตีความกันอยู่ก็ได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลของเรื่องราวชวนขนลุกเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็ได้กลายมาเป็นภาพยนตร์สยองขวัญระดับตำนานเข้าจนได้
โดยเรื่องราวในภาพยนตร์นั้นเป็นการพูดถึงเด็กสาวที่ถูกวิญญาณของปีศาจเข้าสิง ก่อนที่สภาพร่างกายรวมถึงจิตใจของเธอจะถูกวิญญาณชั่วร้ายนั้นกัดกินทีละนิดๆ จนแทบสูญสิ้นความเป็นคน! (ฟังดูคลับคล้ายคลับคลากับสิ่งที่แคโรลีนกับลูกๆ ต้องเผชิญเลยเนอะ) ซึ่งถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะจดจำภาพของบัทเชบา ผ่านภาพของหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่แต่งงานและมีลูกทั้งหมด 4 คนซึ่งล้วนแต่ตายลงตั้งแต่อายุยังน้อย แถมเธอยังต้องมาโชคร้าย ต้องมาตายอย่างไร้ซึ่งครอบครัวที่อยู่เคียงข้าง โชคดีหน่อยที่แหล่งที่ตั้งของหลุมฝังศพเธอได้ตั้งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเคียงข้างกับลูกๆ และสามี แล้วคนแบบนี้น่ะหรอจะสามารถหลอกหลอนผู้คนโดยที่ไม่มีเหตุจูงใจได้ แล้วน้องๆ ล่ะ คิดว่ายังไงกันบ้างจ๊ะ?
โดยเรื่องราวในภาพยนตร์นั้นเป็นการพูดถึงเด็กสาวที่ถูกวิญญาณของปีศาจเข้าสิง ก่อนที่สภาพร่างกายรวมถึงจิตใจของเธอจะถูกวิญญาณชั่วร้ายนั้นกัดกินทีละนิดๆ จนแทบสูญสิ้นความเป็นคน! (ฟังดูคลับคล้ายคลับคลากับสิ่งที่แคโรลีนกับลูกๆ ต้องเผชิญเลยเนอะ) ซึ่งถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะจดจำภาพของบัทเชบา ผ่านภาพของหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่แต่งงานและมีลูกทั้งหมด 4 คนซึ่งล้วนแต่ตายลงตั้งแต่อายุยังน้อย แถมเธอยังต้องมาโชคร้าย ต้องมาตายอย่างไร้ซึ่งครอบครัวที่อยู่เคียงข้าง โชคดีหน่อยที่แหล่งที่ตั้งของหลุมฝังศพเธอได้ตั้งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเคียงข้างกับลูกๆ และสามี แล้วคนแบบนี้น่ะหรอจะสามารถหลอกหลอนผู้คนโดยที่ไม่มีเหตุจูงใจได้ แล้วน้องๆ ล่ะ คิดว่ายังไงกันบ้างจ๊ะ?
House of Light อีกหนึ่งความจริงที่น่าสนใจ!
ถ้าน้องๆ สนใจอยากจะศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม สามารถไปค้นคว้าหาข้อมูลหรือจะอ่านกันเล่นๆ ก็ได้จากหนังสือของเอนเดรีย เพอร์รอน ที่มีชื่อว่า House of Light ที่ได้เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของเธอ ผ่านการอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ใครที่เป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง Conjuring หรืออ่านบทความนี้ของพี่แล้วอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ลองไปซื้อไปหามาอ่านกันดูนะจ๊ะ
และทั้งหมดนี้ก็เป็นที่มาของเรื่องราวสยองขวัญที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Conjuring ที่สร้างขึ้นมาจากเรื่องจริงของครอบครัวเพอร์รอน ซึ่งอ่านไปอ่านมาชักมัน แต่ก็หวั่นๆ เสียวๆ อยู่ เพราะกลัวว่าวิญญาณของบัทเชบาจะโผล่มาทักทายพี่กันถึงที่ไทย (ฮา) แต่ก็อย่างที่พี่ได้พูดไป ว่าทุกอย่างที่เราได้อ่านกันมานี้ พี่ขอให้ทุกคนอ่านแบบมีวิจารณญาณเพราะมันอาจจะเป็นเรื่องจริง 100% หรืออาจจะเป็นเรื่องจริงแค่เพียง 90% ก็เป็นได้ (10% ก็มีความหมาย) เพราะเราไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ เอาเป็นว่าเสพกันแบบขำๆ เพื่อความบันเทิงกันก็พอ ส่วนน้องๆ นักเขียนคนไหนที่กำลังอยากจะลงมือเขียนเรื่องแนวสยองขวัญ ก็ลองหยิบสถานการณ์ที่เคยเจอมา เอามาเขียนเล่าแบบเอนเดรียกันดูก็ได้ ถือเป็นอีกหนึ่งแนวคิดดีๆ ในการหยิบมาเขียนนิยายกันนะจ๊ะ
ไว้เรามาพบกับบทความสนุกๆ จากพี่กันได้ใหม่
หวังว่าทุกคนจะถูกใจบทความนี้กันนะ บ๊ายบายจ้า
หวังว่าทุกคนจะถูกใจบทความนี้กันนะ บ๊ายบายจ้า
พี่นัทตี้ :)
3 ความคิดเห็น
Conjuring หลอนทุกภาคเลย ยิ่งรู้ว่ามีส่วนมาจากเรื่องจริงก็ยิ่งหลอน T^T
มีฉากพีคๆเยอะมาก ตราตรึงมากเลยฮะ555
ภาคแรกทั้งฉากปรบมือ ทั้งคุณแม่กับเก้าอี้ห้องใต้ดิน
ภาคสองก็หลายฉากมากเหมือนกัน กลัวววววแต่ก็ชอบดู ชอบอ่านจัง อิอิ
จำผีลุงที่โซฟาได้ติดตาเลย5555
ผมเจอล่าสุด เมื่อ 3 วันก่อนที่บ้านครับ ประตูห้องนอนเปิดเองด้วยอะ
คือผีเปิด?
ขอบคุณ