นิทานก่อนโต : The Cat in the Hat เมื่อแม่ไม่อยู่บ้าน "จินตนาการ" คือความเงียบที่ดังที่สุด

นิทานก่อนโต : The Cat in the Hat
เมื่อแม่ไม่อยู่บ้าน "จินตนาการ" คือความเงียบที่ดังที่สุด


สวัสดีน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคนค่ะ เมื่อพูดถึงนิทานสำหรับเด็กที่โด่งดังและติดอยู่ในใจของผู้คนจำนวนมากแล้ว.. พี่แนนนี่เพนนึกถึงผลงานของ ดร.ซูส (Dr.Seuss) หรือ ธีโอดอร์ ซูส จีเซล (Theodor Seuss Geisel) เป็นคนแรกๆ เลยค่ะ ดร.ซูส เป็นนักเขียนหนังสือเด็กชาวอเมริกันที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งหนังสือเด็ก จากผลงานชื่อดังหลายๆ เรื่อง อาทิ How the Grinch Stole Christmas, The Cat in the Hat, The Lorax และ Green Eggs and Ham เป็นต้น 
 
ผลงานของดร.ซูส แม้ว่าจะเป็นหนังสือสำหรับเด็ก แต่ก็เป็นเรื่องราวที่ช่วยสอนผู้ใหญ่ได้เหมือนกันเช่น เรื่อง How the Grinch Stole Christmas ที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ จนถือกำเนิดเจ้ากริ๊นช์ตัวเขียวที่เกลียดวันคริสต์มาสขึ้นมา ก็ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์วัตถุนิยมและบริโภคนิยมในเทศกาลวันคริสต์มาสที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสิ่งของมากกว่าความหมายที่แท้จริงของวันคริสต์มาส ซึ่งพี่แนนนี่เพนได้เคยเขียนเรื่องราวของเดอะกริ๊นช์กันไปแล้ว ในวันนี้จึงอยากนำนิทานก่อนโตของดร.ซูส เรื่อง The Cat in the Hat ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนิทานสอนภาษา และสร้างจินตนาการให้เด็กๆ ได้ดีที่สุด นำมาเล่าสู่กันฟังให้น้องๆ ได้หวนคิดถึงวันที่เรายังเป็นเด็กกันค่ะ.. 
 

 

The Cat in the Hat เมื่อแม่ไม่อยู่หนู(ถูกแมวทำให้)ร่าเริง 

หนังสือเรื่อง The Cat in the Hat เป็นหนังสือที่ไม่นิยมแปลไทยเพราะเป็นหนังสือสำหรับสอนภาษาอังกฤษ ที่มีสัมผัสทางภาษาคล้องจองกันมากจนเด็กๆ นิยมอ่านกันเป็นเพลง ซึ่งน้องๆ หลายคนอาจจะรู้จัก The Cat in the Hat ทั้งจากหนังสือในตอนเด็ก และจากภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือในชื่อเหมียวแสบ ใส่หมวกซ่าส์ (2003) ที่ว่าด้วยเรื่องราวของสองพี่น้องที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านตามลำพังกับเจ้าปลาทองจอมขี้บ่นในวันที่ฝนตกหนัก เด็กๆ ทั้งสองคนรู้สึกเบื่อมากที่ต้องเล่นของเล่นอยู่ในบ้านอย่างเหงาๆ เพราะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกไม่ได้ จนกระทั่งเกิดเสียงดังขึ้นที่ประตูพร้อมกับมีเจ้าแมวประหลาดใส่หมวกทรงสูงสีแดงเดินเข้ามาในบ้าน เด็กๆ รู้สึกสับสนว่าเจ้าแมวคือใคร ก่อนจะถูกแมวตัวนั้นชวนเด็กๆ ให้เล่นเกมสนุกๆ เจ้าปลาทองขี้บ่นซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของสองพี่น้องบอกให้พวกเด็กๆ ไล่เจ้าแมวตัวนี้ออกไป แต่เจ้าแมวก็โน้มน้าวเด็กๆ ด้วยการบอกว่าเด็กๆ ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรเลย เกมที่จะเล่นไม่มีอะไรที่ไม่ดี แถมแม่ก็จะไม่ดุด้วย จากนั้นเจ้าแมวก็แสดงความสามารถด้วยการขึ้นไปยืนอยู่บนลูกบอลและถือข้าวของมากมาย รวมทั้งเจ้าปลาทองด้วย เจ้าแมวพูดโม้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งของทุกอย่างหล่นกระจายเต็มไปหมด เด็กๆ ตกใจมาก แต่เจ้าแมวก็ยังชวนเล่นเกมต่อด้วยการนำกล่องของขวัญสีแดงพร้อมกับตัวประหลาดอีกสองตัวออกมา จากนั้นบ้านของเด็กๆ ก็เริ่มเละเทะขึ้นเรื่อยๆ จากการวิ่งเล่นของตัวประหลาดสองตัว 
 
จนกระทั่ง ได้เวลาที่แม่ของเด็กๆ จะกลับมา สองพี่น้องไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีกับข้าวของที่กระจัดกระจาย สุดท้ายเจ้าแมวก็เก็บกวาดทุกสิ่งทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมทันเวลา ก่อนที่แม่ของพวกเขาจะกลับเข้าบ้าน ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แม่ของเด็กๆ ถามพวกเขาว่าวันนี้สนุกไหม บอกแม่หน่อยซิ ว่าวันนี้ทำอะไรกันบ้าง ซึ่งเป็นคำถามที่ทำให้เด็กๆ สงสัยว่า พวกเขาควรตอบแม่อย่างไรดี.. 
 

 

"จินตนาการและความกลัว" ที่ดังอยู่ภายในใจของเด็กๆ 

ในตอนที่เรายังเด็ก เรามักเผชิญหน้ากับการอยู่บ้านตามลำพังอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งจริงๆ แล้วการอยู่บ้านกับของเล่นมากมาย ถือเป็นสวรรค์ของเราในตอนเด็กเลยก็ว่าได้.. เราในตอนเด็กมักมีเรื่องที่อยากจะทำมากมายแต่ก็เกรงกลัวสายตาและคำสอนของผู้ใหญ่ ที่มักจะมีน้ำเสียงเชิงข่มขู่ให้เรารู้สึกหวาดกลัวและต้องอยู่ในโอวาท ทั้งที่ใจของเราในตอนเด็กนั้น ไม่ได้เห็นอันตรายเหมือนดังที่ผู้ใหญ่คอยเฝ้าสอน เราเห็นแค่เพียงความสนุก และความท้าทายในชีวิตเท่านั้น ซึ่งการไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยในตอนเด็ก ก็อาจส่งผลให้เราไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่กล้าที่จะจินตนาการ คอยรับฟังแต่คำสั่งสอนของผู้ใหญ่จนเคยชิน จนทำให้เกิดตัวเราที่ 'ไม่เป็นตัวเรา' ขึ้นมา.. หนังสือ The Cat in the Hat จึงสะท้อนเรื่องราวในวัยเด็กของเราออกมาให้ได้ได้คิดทบทวนชีวิตในวัยเด็กกันอีกครั้ง ผ่านสองพี่น้อง ผ่านเจ้าแมว และผ่านเจ้าปลาทอง ดังนี้  
 

 

ความไว้ใจ : ทำไมเด็กๆ ถึงไว้ใจเจ้าแมวแปลกหน้าให้เข้ามาทำบ้านเละเทะ 

ในเรื่องเจ้าแมวได้ให้ความมั่นใจกับเด็กๆ ว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้น ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร รวมถึงแม่ของพวกเขาจะไม่ดุด่าแน่นอน นี่เป็นเหมือนการล่อลวงของจินตนาการที่เป็นความคิดของเด็กๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว เจ้าแมวคือจินตนาการของเด็กๆ ที่อยากจะต่อต้านกรอบความคิดที่ได้รับมาค่ะ แมวประหลาดคือจินตนาการของเราที่อยากจะเล่น อยากจะสนุก ในแบบที่ตรงข้ามกับกฏเกณฑ์ทุกๆ อย่าง ทั้งการเล่นที่โลดโผนจนอาจทำให้เกิดอันตราย การเมินคำเตือนของปลาทองซึ่งเปรียบเสมือนคำสอนของผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้เด็กๆ อยากจะทำแต่ไม่กล้าทำ เจ้าแมวจึงเป็นตัวแทนของเด็กๆ ในการวิ่งเล่นไปทั่วบ้าน โดยไม่สนคำเตือนของปลาทองซึ่งเป็นคำสอนของผู้ใหญ่
 

ความคาดหวัง : ทำไมเด็กๆ ถึงกลัวว่าแม่จะดุที่เจ้าแมวทำบ้านเละเทะ

ในเรื่องแมวได้เชิญตัวเองเข้ามาเล่นเกมในบ้านด้วยตัวของมันเอง เปรียบเสมือนจินตนาการของเด็กที่โลดแล่นและเต็มไปด้วยความสนุกสนานโดยไม่สนใจสิ่งต่างๆ จนกระทั่งเด็กๆ เห็นบ้านที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อย มีข้าวของกระจัดกระจาย เลอะเทอะไปทั่วทั้งบ้าน พวกเขาถึงเริ่มตระหนักได้ถึงคำสอนของแม่ รวมถึงความไว้ใจที่แม่มีให้พวกเขา นั่นก็คือ ความเชื่อใจของแม่ ที่เชื่อว่าลูกๆ จะอยู่บ้าน และทำตัวดีๆ ไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวัง เป็นความคาดหวังของผู้ปกครองที่อยากจะให้เด็กๆ เชื่อฟังคำสอนนั่นเอง The Cat in the Hat จึงเป็นหนังสือที่ช่วยสอนให้เด็กๆ ได้เข้าใจว่าทำไมเราถึงต้องรักษาความสะอาด และความป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นภาพที่แสดงให้เด็กๆ เห็นว่า ถ้าเด็กๆ เล่นซุกซนเหมือนเจ้าแมว พวกเขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับแม่ในโหมดที่พวกเขาไม่ชอบได้ 
 

 

การโกหก : ทำไมเด็กๆ ถึงไม่กล้าบอกความจริงกับแม่ของพวกเขา

ในส่วนของข้อนี้ แสดงให้เห็นช่วงเวลาในวัยเด็กได้ดีมากๆ เลยค่ะ สองพี่น้องในเรื่องเกิดความสงสัยในตอนท้ายเรื่องว่า "พวกเขาควรจะบอกความจริงกับแม่ดีไหม?" เมื่อแม่ของพวกเขาถามว่าวันนี้พวกเขาทำอะไรมาบ้าง ซึ่งหากเรามองย้อนกลับไปในวัยเด็ก เรามักจะเล่นสนุกด้วยความท้าทายที่ฝ่าฝืนข้อห้ามของผู้ใหญ่ คำตอบของเด็กๆ จึงเป็นการโกหกเพื่อปิดบังความจริงบางส่วน และเปิดเผยเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่ต้องโกหกก็เพราะพวกเขากลัวความผิดที่ไม่เชื่อฟังนั่นเอง ซึ่งความจริงแล้วในศาสนาคริสต์ ได้กล่าวถึงเรื่องการโกหกไว้ว่า เด็กทุกคนล้วนโกหกได้ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องมีใครสอน เพราะการทำบาปคือการหลีกเลี่ยงความจริงซึ่งทำง่ายกว่าการทำดีที่ต้องเผชิญกับความผิดนั่นเอง 
 

"จินตนาการ" ความเงียบที่ดังที่สุดในวัยเด็ก

หลายครั้งเรามักจะหลงลืมไปว่า เราในวัยเด็กเคยมีความสนุกและความฝันอันน่าตื่นเต้นมากแค่ไหน พอเราโตขึ้นมาเราเริ่มถูกสังคมหล่อหลอมให้เป็นไปในทิศทางต่างๆ จนลืมไปว่า เราเคยวาดรูปละเลงสีมั่วๆ ลงบนกระดาษ บนผนังอย่างมีควาสุข เราเคยเล่นซ่อนแอบและโผล่ออกมาให้เพื่อนตกใจเล่นๆ เพื่อความสนุกสนาน และเราอาจเคยวิ่งจับผีเสื้อหรือแมงปอไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งที่เราอยากทำอย่างอิสระ เฝ้าฝันและรอคอยบางอย่างด้วยความหวัง เป็นจินตนาการที่ดังที่สุดในใจเราตอนนั้น.. ตอนที่เรายังเป็นเด็ก.. 
 

 
พี่แนนนี่เพนนำนิทานก่อนโตเรื่อง The Cat in the Hat มาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เพราะพี่อยากให้น้องๆ ได้เห็นถึงความสำคัญในวัยเด็กที่ทำให้เราโตขึ้นมาเป็นเราอย่างทุกวันนี้  และนิทานเรื่องนี้ก็สอนให้เด็กๆ ได้รู้จักคำว่า 'จินตนาการ' ได้ดีที่สุดด้วย เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า อิสระที่แท้จริงในวัยเด็กของเรานั้น คืออิสระที่เราได้จินตนาการในช่วงเวลาที่ไม่มีผู้ใหญ่คอยควบคุมนั่นเอง ซึ่งพี่เชื่อเสมอว่าความเป็นเด็ก จำเป็นสำหรับผู้ใหญ่ทุกคนค่ะ ^^
 
พี่แนนนี่เพน
 
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
พี่แนนนี่เพน
พี่แนนนี่เพน - Columnist สาวเหนือที่มีความสุขกับการเขียนนิยาย และเชื่อว่านิยายให้อะไรดีๆ กับสังคมเสมอ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

4 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture