สยองไปอีก ทัวร์โลกหลังความตายผ่าน
สถานที่ 7 แห่งเหล่านี้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น 'ประตูสู่นรก'
สวัสดีค่ะชาวเด็กดีทุกคน สวรรค์และนรกเป็นความเชื่อทางศาสนาที่อยู่คู่กับเรามาตลอด พี่เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ "นรก" มาอยู่บ้าง จะเป็นนรกของไทยก็ดี ของจีนก็ดี หรือของตะวันตกก็ดี คนทั่วโลกส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่านรกมีอยู่จริง อย่างไรก็ตามบางคนอาจคิดว่านรกเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่มีไว้เพื่อขู่ไม่ให้เราทำความชั่ว แต่น้องๆ รู้มั้ยว่าความเชื่อ ตำนาน รวมถึงวิธีการเดินทางไปยัง “นรก” มีอยู่จริงในโลกใบนี้ด้วยค่ะ!!
วันนี้พี่น้ำผึ้งจึงขออาสาพาทุกคนไปรู้จักกับ 7 สถานที่จริงที่ผู้คนเชื่อว่ามันคือ "ประตูสู่นรก" ซึ่งนำไปสู่ดินแดนหลังความตาย รับรองว่ารู้แล้วจะอึ้งแน่นอน ถ้าพร้อมแล้ว รัดเข็มขัดให้แน่นแล้วดำดิ่งสู่นรกกันเลย!
แผนที่ภูเขาไฟเฮกลา
(via: Wikimedia Commons)
ประตูนรกแห่งที่ 1 : ภูเขาไฟเฮกลา
พิกัด : ประเทศไอซ์แลนด์
ภูเขาไฟที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์แห่งนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นภูเขาไฟที่ปะทุบ่อยมาก โดยเฉพาะในปี 1104 ที่ภูเขาไฟแห่งนี้ปะทุจนมีลาวาไหลออกมาราวกับเปลวเพลิงแห่งนรก มันได้คร่าชีวิตผู้คนไป ทำให้ในยุคนั้น ช่วงศตวรรษที่ 12 ภูเขาไฟเฮกลาโด่งดังในฐานะ "ประตูสู่นรก"
ในบทกวีการเดินทางของนักบุญเบรนแดน เขียนโดยนักบุญเบเนดิกต์ในปี 1120 ก็มีการกล่าวถึงภูเขาไฟเฮกลาว่า "เป็นคุกของยูดาส อัครสาวกผู้ทรยศพระเยซู" ชื่อเสียงการปะทุดังกล่าวยังคงโด่งดังวนไป จนกระทั่งในการปะทุปี 1341 มีรายงานว่ามีคนเห็นนกกำลังบินอยู่ท่ามกลางไฟ และเงาดำๆ ออกมาจากภูเขา ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าฝูงนกและเงาดำเหล่านั้นต้องเป็นวิญญาณแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีตำนานกล่าวว่า ภูเขาไฟเฮกลาเป็นแหล่งชุมนุมของแม่มดทุกวันอีสเตอร์เพื่อทำตามคำสั่งของสิ่งลี้ลับและปีศาจ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจนถึงบัดนี้ ภูเขาไฟเฮกลาก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นประตูสู่นรก กลัวแล้ว
ประตูสู่นรกแห่งที่ 2 : เมืองเฟิงดู
พิกัด : ประเทศจีน
เมืองผีเก่าแก่อายุ 2000 กว่าปีนี้ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองฉงชิ่ง ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสถานที่ที่ผู้ตายได้หยุดพักระหว่างการเดินทางไปสู่ชีวิตหลังความตาย ตำนานจากราชวงศ์ฮั่นเล่าถึงเรื่องราวของ วัง ฟันปิงและยิน ชางแซง ผู้ที่ยอมทิ้งชีวิตในศาลเพื่อฝึกฝนลัทธิเต๋าในเมืองเฟิงดูและกลายเป็นอมตะในที่สุด
เมื่อนำชื่อของพวกเขามารวมกัน ฟังดูเหมือนเป็น "กษัตริย์แห่งนรก" และหมินชานซึ่งเป็นเนินเขาที่สามารถมองเห็นเมืองเฟิงดูได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะที่พำนักของเทียนจือ กษัตริย์แห่งนรก
เมืองนี้เต็มไปด้วยวัดทางศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า กล่าวกันว่าเป็นแหล่งรวมวิญญาณอมตะที่ได้รับการตัดสินให้ต้องทุกข์ทรมานที่นี่ นอกจากนี้ตำนานยังกล่าวว่า หลังตายแล้ว วิญญาณต้องข้ามสะพานแห่งการไร้อำนาจ (Bridges of Helplessness) เพื่อตัดสินความบริสุทธิ์ จากนั้นต้องเผชิญหน้ากับกระจกแห่งผลกรรม (Mirror of Retribution) ที่ Ghost Torturing Pass และกลับมาเกิดใหม่ทันที หรือไม่ก็เผชิญหน้ากับการทรมานจากผลกรรมของตัวเองที่ก่อไว้ ก่อนสุดท้ายจะถูกนำตัวไปสู่กงล้อแห่งการเกิดใหม่ (Wheel of Rebirth) เพื่อไปเกิด
ใครก็ตามที่ต้องการมาเยี่ยมชมเมืองผีแห่งนี้สามารถเดินทางได้ด้วยเรือ และเดินข้ามสะพานไปเผชิญหน้ากับปีศาจที่ปกป้องโลกวิญญาณ มองดูรูปปั้นกษัตริย์เมืองผีที่สูงถึง 138 เมตร ซึ่งเป็นรูปแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดบนหิน
ประตูสู่นรกแห่งที่ 3 : ภูเขาไฟมาซายะ
พิกัด : ประเทศนิการากัว
แม้ว่าชาวอะบอริจินของมาซายะสมัยใหม่ในประเทศนิการากัวจะไม่เชื่อว่า ปากของสมรภูมิแห่งนี้จะเป็นประตูสู่ชีวิตหลังความตาย แต่ยังมีชาวท้องถิ่นบางส่วนที่เชื่อว่าภูเขาไฟเป็นเทพเจ้า และมีพ่อมดแม่มดอาศัยอยู่ในหลุมไฟนี้!
ในศตวรรษที่ 16 นักสำรวจชาวสเปนได้ค้นพบภูเขาไฟแห่งนี้ เขาเชื่อว่ามันเป็นที่ๆ ไว้ใช้สำหรับทำกิจกรรมชั่วร้ายของสิ่งลี้ลับ ต่อมาในปี 1529 เมอร์ซีดาเรียน เฟรย์ ฟรานซิสโก เดอ โบบาดิลลาได้นำไม้กางเขนไปปักไว้ที่กลางภูเขาไฟปะทุร้อน หวังว่าจะช่วยสะเดาะเคราะห์ในสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นปากทางแห่งนรก
แล้วไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว เพราะนักบวชโตริบิโอ เบนาเวนเต้ ได้เขียนบันทึกไว้ในปี 1541 ว่า การปะทุที่ไม่เคยหยุดยั้งของภูเขาไฟนี้จะต้องมีสาเหตุเพราะสิ่งที่เหนือธรรมชาติและต้องเป็น "สถานที่ๆ ปีศาจโยนผู้ถูกสาปแช่งลงมา"
อย่างไรก็ตาม เมื่อนำลักษณะทางกายภาพของภูเขาไฟมาซายะไปเทียบกับนรกในคำพยากรณ์ของพันธสัญญาใหม่ พบว่า ภูเขาไฟแห่งนี้มีลักษณะตรงกับนรกไม่มีผิด ทั้งดินแดนที่เต็มไปด้วยไฟลุกในหลุมลึกอย่างไม่มีวันจบสิ้น บวกกับควันที่พ่นกลบแสงดวงอาทิตย์ตลอเวลา ชัดเจนเลยว่าภูเขาไฟมาซายะแห่งนี้เปรียบเหมือนกับปากทางสู่นรกค่ะ
ประตูสู่นรกแห่งที่ 4 : พลูโตนีออน
พิกัด : ประเทศตุรกี
ครั้งหนึ่งนครโบราณเฮียราโปลิส ประเทศตุรกี ใกล้กับเมืองยุคใหม่อย่าง Pamukkale เคยเป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อบูชาพลูโต เทพเจ้าแห่งความตายอย่าง “พลูโตนีออน” สถานที่ๆ ไม่เคยมีใครกล้าเฉียดกรายเข้าไปใกล้ แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกค้นพบเมื่อปี 1965 แต่นักโบราณคดีกลับประกาศให้ “พลูโตนีออน” เป็นสถานที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งของตุรกี
พลูโตนีออนเต็มไปด้วยก๊าซพิษที่สูงถึงขนาดสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตทั่วไปได้ ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นเมืองร้าง ว่ากันว่าในอดีตเมื่อมีการฆ่าสังเวยเทพพลูโต ชาวบ้านจะใช้เชือกผูกขาสัตว์แล้วหย่อนลงไปในปล่องพลูโตนีออน พอดึงขึ้นมากลับพบว่าสัตว์ตายอย่างเป็นปริศนา แม้แต่นกที่บินผ่านไปมายังตายเลย คนในเมืองโบราณเฮียราโปลิสจึงเชื่อว่ามันถูกส่งมาจากเทพเจ้าพลูโต สถานที่แห่งนี้จึงได้รับการกล่าวขานว่าเป็นประตูสู่นรก
อย่างไรก็ตาม พอเวลาผ่านไป นักวิทยาศาตร์ได้ทำวิจัยและพบว่าปากปล่องประตูนรกแห่งนี้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 91% และเข้มข้นถึง 4-53% ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นการไขปริศนาว่าเหตุใดสัตว์ถึงตายได้ จัดว่าเป็นสถานที่อันตรายและสมกับเป็นประตูนรกของจริง
ประตูสู่นรกแห่งที่ 5 : แม่น้ำแอคเคอรอน
พิกัด : ประเทศกรีซ
แม่น้ำแอคเคอรอนเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรีซ และเป็นแม่น้ำที่มีความโดดเด่นในตำนานโอดิสซี่ย์สุดคลาสสิกของโฮเมอร์ นอกจานี้แม่น้ำแห่งนี้ยังถูกขนานนามว่าเป็น "แม่น้ำแห่งความวิปโยคและความเจ็บปวด" ตามความเชื่อในเทพปกรณัมกรีกอีกด้วย เนื่องจากเป็นพรมแดนที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับนรก
จากตำนานโอดิสซี่ย์ ไซซีได้ชี้ทางไปสู่นรกให้แก่โอดิสซี่ย์ และบอกว่าเขาต้องหาจุดที่แม่น้ำแอคเคอรอนไหลไปบรรจบกับแม่น้ำเฟลจีธอนและแม่น้ำสติกซ์ให้ได้ ที่จุดบรรจบนั้นเขาจะได้พบกับเครอน ผู้คอยพาวิญญาณข้ามฟากไปสู่โลกหลังความตาย แค่นั่งเรือข้ามฟากของเครอนก็สามารถไปสู่นรกได้ทันที
ดวงวิญญาณต้องจ่ายค่าจ้างเป็นเงินเหรียญ หรือที่เราเรียกว่า เงินปากผี ให้แก่เครอน หากวิญญาณดวงใดไม่มีเงินปากผี ก็จะต้องถูกปล่อยให้รออยู่นานถึง 100 ปี กว่าเครอนจะยอมให้นั่งเรือฟรีๆ ปัจจุบัน ประตูสู่นรกแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของนักท่องเที่ยว มีการล่องแพและมีผับบาร์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำด้วยค่ะ
ประตูสู่นรกแห่งที่ 6 : เซโนเต้
พิกัด : ประเทศแม็กซิโก
เห็นเป็นถ้ำสวยๆ แบบนี้แล้ว บอกเลยว่านี่คือที่สุดของความสยองค่ะ "เซโนเต้" เป็นถ้ำใต้น้ำที่ได้รับความนิยม มันเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่สวยงาม แต่ภายใต้ความสวย สถานที่นี้กลับเป็นที่ฝังศพนับร้อย!
ฃเมื่อหลายปีก่อน มีใครก็ไม่รู้เสียชีวิตที่นี่ และตอนนี้เหลือเพียงแค่โครงกระดูกของเขาที่จ้องมองนักดำน้ำที่มาเยือน หลอนยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่ามือของโครงกระดูกนี้จะเอื้อมออกไปยังปากถ้ำเพื่อรับแสง ราวกับว่าพร้อมจะฟื้นคืนชีพจากความตายได้ทุกเมื่อ
แต่อย่าคิดว่าจะมีเพียงแค่โครงกระดูกเดียวอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เพราะยังมีศพมากกว่า 125 ศพที่ซ่อนอยู่ด้านล่างอย่างเงียบสงบ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่นั่นได้อย่างไร หรือคนเหล่านี้เป็นใคร แต่ที่แน่ๆ ศพเหล่านี้อยู่มานานหลายปีแล้ว ไม่แน่นะ ขณะที่คุณกำลังเซลฟี่แบบเก๋ๆ คุณอาจจะได้รูปโครงกระดูกโผล่มาในฉากโดยไม่รู้ตัว
สำหรับถ้ำเซโนเต้แห่งนี้ ชาวมายาเชื่อว่าเป็นที่พำนักของเทพเจ้าแห่งฝนและเป็นประตูสู่ซิบาลบา (Xibalba) โลกหลังความตาย ในมุมมองของชาวมายา ถ้ำมักถูกมองว่าเป็นประตูสู่ชีวิตหลังความตาย นอกจากนี้นักโบราณคดียังเจอวัดมายาและซากศพมนุษย์อยู่เป็นจำนวนมากในเซโนเต้ของคาบสมุทรยูคาทานซึ่งเป็นที่ตั้งของซิบาลบา ทุกวันนี้เซโนเต้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามมากกว่า "สถานที่แห่งความกลัว" ในตำนาน
ประตูนรกแห่งที่ 7 : ภูเขาโอซาระ
พิกัด : ประเทศญี่ปุ่น
ขอปิดท้ายที่ฝั่งเอเชียสักหน่อย หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในญี่ปุ่นอย่าง “ภูเขาโอซาระ” (เรียกว่าภูเขาที่ลุกโชนหรือภูเขาแห่งความกลัว) เป็นอีกหนึ่งเส้นทางสู่นรกซึ่งมีอาณาเขตติดกับแม่น้ำซานซู ตามตำนานและความเชื่อทางพุทธศาสนาในญี่ปุ่น แม่น้ำซานซูเป็นแม่น้ำสำคัญที่ทุกดวงวิญญาณจะต้องข้ามไปสู่โลกหลังความตาย ซึ่งการข้ามไปยังโลกหลังความตายจะง่ายหรือยากนั้น ขึ้นอยู่กับว่าตอนมีชีวิตเราทำอะไรไว้
ถ้าเป็นคนที่จิตใจดี ทำแต่ความดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เส้นทางสู่โลกแห่งความตายก็สว่างสดใส อุปสรรคน้อยหน่อย แต่ถ้าเป็นคนที่ทำชั่ว สะพานข้ามแม่น้ำก็จะสกปรก เต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานและงู
เพราะภูเขาไฟแห่งนี้เต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนและหลุมบ่อที่เต็มไปด้วยควันกำมะถัน มันจึงทำให้เรารู้สึกราวกับว่านี่คือนรก ไม่เพียงแค่นั้นชาวญี่ปุ่นยังเชื่อว่าดินแดนนี้ได้รับการปกป้องจากเทพเจ้าแห่งนรก ส่วนรูปปั้นที่วางอยู่บริเวณภูเขาโอซาระได้รับการกล่าวขานว่ามีไว้เพื่อเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อช่วยในการเข้าสู่สวรรค์
เป็นอย่างไรบ้างกับประตูนรกทั้ง 7 แห่งที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝาก อ่านดูแล้วรู้สึกพิศวงเหมือนกันนะ แต่ละสถานที่ล้วนเองก็มีตำนานที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่ใกล้เคียงกันเกือบทุกที่เลยคือ “ความเชื่อ” ค่ะ เมื่อคนเราตายแล้ว ดวงวิญญาณจะหลุดลอยไปยังโลกหลังความตายด้วยวิธีที่แตกต่างตามความเชื่อ อย่างความเชื่อของไทยก็คือนายนิรยบาลมารับเอาดวงวิญญญาณไป หรือความเชื่อญี่ปุ่นก็คือการเดินข้ามสะพานแม่น้ำซานซู ซึ่งไม่ว่าจะเดินทางด้วยวิธีไหน แต่ปลายทางสุดท้ายคือ “นรก” เหมือนกันหมด และทุกคนก็ไปที่นั่นเพื่อชดใช้เวรกรรมที่ตัวเองเคยก่อไว้ สะท้อนให้เห็นเลยว่ามีความเชื่อเรื่องนรกอยู่ทั่วทุกมุมโลกจริงๆ รู้อย่างนี้แล้วไม่กล้าทำบาปเลยค่ะ กลัว ฮ่าๆ
แล้วน้องล่ะคะ คิดเห็นว่ายังไง อย่าลืมเล่าให้พี่ฟังด้วยนะคะ
พี่น้ำผึ้ง :)
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.mirror.co.uk/news/world-news/spooky-pictures-show-gates-hell-9068655
https://www.atlasobscura.com/articles/11-hidden-spots-to-enter-the-underworld
http://theghostdiaries.com/places-around-the-world-known-as-the-gates-of-hell/
https://io9.gizmodo.com/13-places-on-earth-thought-to-be-entrances-to-hell-1441628317
2 ความคิดเห็น
จ้างให้ก็ไม่ไปค่ะ
ถึงแม้ว่าเราจะปลื้มพญายมราช (พุทธกับฮินดู) กับจ้าวนรกฮาเดส (กรีก-โรมัน) ก็เถอะ
เราก็เคยไปมาแล้วค่ะ
แต่เป็นในความฝันนะคะ
โชคดีที่เรารู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกวิญญาณในเมืองผี
พวกวิญญาณในเมืองผีพยายามยัดเยียดให้เรากินน้ำ อาหาร และผลไม้ของที่นั่น
แต่เรารู้ว่าถ้ากินแล้ว เราจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
เคยดูวิดีโอที่เขาพาไปเที่ยวชมเซโนเต้ เขาว่าเซโนเต้พวกนี้บางทีก็มีวัวหรืออะไรตกลงไปตาย หรือบางทีเพราะความเชื่ออย่างที่ในบทความว่าไว้ ชาวมายาเลยใช้เซโนเต้ทำการบูชายัญคน เซโนเต้บางแห่งก็เป็นแหล่งน้ำใช้ บางแห่งที่เต็มไปด้วยศพคนใต้น้ำนั่นเป็นเพราะนั่นเป็นสถานที่บูชายัญหรือเปล่าคะ
ประเทศนี้มีเซโนเต้เยอะค่ะ หลายที่เขาก็ว่าเต็มไปด้วยศพ หลายๆ ที่ก็สวยมาก แต่จะดำเซโนเต้จำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาด้วยเพราะมันอันตรายมาก ว่ากันว่าสาเหตุการเกิดเซโนเต้นั้นมาจากอุกาบาตที่ตกลงมาสมัยไดโนเสาร์สูญพันธุ์ เขาว่าอุกาบาตตกลงแถวนั้นแล้วมันทำให้พื้นร่วงลงไปเผยถ้ำใต้ดินด้านล่าง ถ้าเราจำไม่ผิดเรื่องมันน่าจะราวๆ นี้ค่ะ