สร้างเรื่องราวให้อิมแพ็คด้วยเทคนิค ‘นอนฝัน’ และอื่นๆ ตามนักร้องหนุ่มชื่อดัง Shawn Mendes!


 

สร้างเรื่องราวให้อิมแพ็คด้วยเทคนิค ‘นอนฝัน’
ตามนักร้องหนุ่มชื่อดัง   Shawn Mendes!

สวัสดีค่ะชาวนักเขียนเด็กดีทุกคน เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ชอว์น เมนเดส (Shawn Mendes) นักร้องคนโปรดวัย 21 ปีของพี่น้ำผึ้งได้มาจัดคอนเสิร์ตที่ไทย บอกเลยว่าแฟนคลับอย่างพี่อดไม่ได้ที่จะอินไปกับเพลงของเขาจนถึงตอนนี้! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Senorita เพลงรักที่ทำให้ตาร้อนผ่าว นึกอยากสวมบทบาทเป็นคามิล่าทันที   แต่น้องๆ   รู้มั้ยคะ   เห็นหนุ่มชอว์นร้องเพลงเพราะแบบนี้ แท้จริงแล้วเขาเองก็แต่งเพลงเหมือนกับนักร้องชื่อดังคนอื่นๆ อาทิเช่นจอห์น เมเยอร์, เทย์เลอร์ สวิฟต์ แถมยังมีเทคนิคการแต่งเพลงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

เนื่องจากกลเม็ดเคล็ดลับฉบับที่แล้ว พี่น้ำผึ้งได้พาทุกคนไปดูเคล็ดลับการเขียนนิยายโดยใช้เทคนิคการแต่งเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ในบทความ ขโมยสูตรลับคนดัง เขียนนิยายให้ปังด้วยเทคนิค 'ดึงความทรงจำ' จากนักร้องดัง Taylor Swift!   ในครั้งนี้พี่ขอชวนทุกคนมาส่องเทคนิคการเขียนและการหาแรงบันดาลใจของนักร้องหนุ่มชอว์น เมนเดสค่ะ บอกเลยว่าแต่ละวิธีเด็ดดวงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาแรงบันดาลใจ ซึ่งมีตั้งแต่นอนฝัน ไปจนถึงการเขียนถึงคนในจินตนาการ เหมาะสุดๆ สำหรับนักเขียนสายตัน อ่านแล้วรับรองว่ามีประโยชน์แน่นอน

 


(via: https://variety.com)
 

ชอว์น...ใครกันนะ?

ชอว์น ปีเตอร์ ราอูล เมนเดส นักร้องหนุ่มสัญชาติแคนาเดียนวัย 21 ปีเติบโตในเมืองออนตาริโอกับพ่อชาวโปรตุเกส แม่ชาวอังกฤษและน้องสาวหนึ่งคน เขาเริ่มสัมผัสกับดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย   แต่ไม่เคยมีใครสนใจ จนกระทั่งเมื่อชอว์นอายุ 15 ปี เขาร้องเพลงโคฟเวอร์พร้อมกับกีตาร์คู่ใจลงแอปพลิเคชั่น Vine ก่อนเผยแพร่ลงยูทูปจนกลายเป็นไวรัล ภายในช่วงเวลาแค่ปีเดียว ชอว์นกลายเป็นนักดนตรีที่มีผู้ติดตามสูงที่สุดใน Vine ก่อนค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Island Records จะซื้อตัวไป

ห้าปีต่อมา ชอว์นเติบโตและโด่งดังเป็นที่นิยมทั่วโลก เขามียอดขายมากกว่าล้านอัลบั้ม ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สองครั้ง และเป็นนักดนตรีคนแรกที่มีผู้ชมชาวอเมริกันยกให้เป็นอันดับหนึ่งก่อนที่เขาจะอายุ 20 ปี! แน่ล่ะว่าบทเพลงของเขาที่โด่งดัง ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่แต่งเอง แล้วชอว์นสร้างสรรค์บทเพลงเหล่านี้ได้ยังไง    ได้ไอเดียจากไหน   มีทริคยังไงบ้าง   ตามมาดูกันเลยค่ะ
 

Clip

Shawn Mendes - In My Blood

เปลี่ยนความวิตกกังวลให้กลายเป็นเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ

 “In My Blood” ผลงานเพลงจากชอว์น เมนเดสที่ขึ้นอันดับท็อปบิลบอร์ดอย่างรวดเร็วทันทีปล่อยออกมา เป็นเพลงที่แสดงให้เห็นถึงด้านอ่อนแอ เปราะบางของชอว์น เมนเดส แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นพลังที่ฮึดสู้ของเขา ดังท่อนหนึ่งในเพลงที่ว่า
 

Help me, it’s like the walls are caving in.
Sometimes I feel like giving up, but I just can’t.
It isn’t in my blood

(ช่วยฉันที มันเหมือนกับว่ากำแพงกำลังจะพังทลาย หลาย ๆ ครั้งที่ฉันรู้สึกว่ายอมแพ้ไปเลยได้ไหม
แต่ฉันแค่ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่นิสัยของฉันเลย)

 

แน่นอน มันเป็นครั้งแรกของชอว์นที่ประสบกับความวิตกกังวล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการมีชื่อเสียงโด่งดังสามารถทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่เข้าใจสิ่งที่เขารู้สึกว่าเป็นยังไง สิ่งที่ชอว์นต้องการคือการหลบหนี และโชคดีที่เขาสามารถค้นพบความแข็งแกร่งของตัวเองผ่านดนตรี ในที่สุดเมื่อเขาเอาชนะมันได้จึงถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาผ่านบทเพลงนี้ 

 “ผมภูมิใจมากๆ นะ” ชอว์น เมนเดสกล่าวกับทางบิลบอร์ด “ผมคิดว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเพลงอื่นๆ ทั้งหมดของผม - ผมรักทุกเพลงของตัวเองนะ – แต่มันเป็นหัวข้อที่คลุมเครือมากกว่าในเรื่องความสัมพันธ์ และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจาะสิ่งที่จริงจังกว่า แล้วก็เกี่ยวกับตัวผมมากกว่า”

จุดประสงค์หลักของชอว์น เมนเดสในการแต่งเพลง In My Blood คือ นอกจากจะถ่ายทอดความรู้สึกของเขาตอนสัมผัสกับโรควิตกกังวลแล้ว ชอว์นยังต้องการให้เพลงนี้เป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ที่กำลังท้อ หวังว่าคนฟังจะมีพลังใจฮึดสู้กับทุกๆ เหตุการณ์หนักหน่วงที่เข้ามาในชีวิต “แนวคิดของเพลงนี้เกี่ยวกับความรู้สึกของคุณ เมื่อคุณจะยอมแพ้และจากนั้นคุณก็ไม่” ชอว์น เมนเดสพูด “มันเกี่ยวกับสิ่งที่ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยผ่านมาก่อน แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าผู้คนไม่ได้พูดถึงบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องดนตรี”
 


ผู้เขียนไดเวอร์เจนท์ก็ได้แรงบันดาลใจจากความวิตกกังวลเช่นกัน
(via: http://www.divergentlife.com)

 

ข้ามมายังวงการนิยายสักหน่อย หากน้องๆ เคยผ่านหูผ่านตาหรืออ่าน “ไดเวอร์เจนท์ (Divergent)” นิยาย YA ของเวโรนิก้า โรธที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากแล้วล่ะก็ โปรดรู้ไว้เลยว่านักเขียนได้แรงบันดาลใจในการสร้างไดเวอร์เจนท์จากโรควิตกกังวลที่เป็นอยู่ โรธเล่าว่าตัวละครหลักของเธอที่แสนกล้าหาญนั้นทำให้เธอเอาชนะโรคนี้ และเธอก็อยากสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนผ่านนิยายของเธอ ผลก็คืองานเขียนของเธอได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก!

ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นนักเขียนนิยาย เป็นผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ มีโอกาสที่ผลงานของเราอาจมีอิทธิพลต่อนักอ่านโดยไม่รู้ตัว นั่นหมายความว่านักเขียนอย่างเราสามารถกลายเป็น influencer ได้เฉกเช่นกับนักเขียนดังๆ หรือนักร้องที่มีชื่อเสียงอย่างชอว์น เมนเดส มันสำคัญมากเลยนะที่เราจะต้องถ่ายทอดผลงานดีๆ ที่ให้มากกว่า “ความบันเทิง” ผลงานนั้นควรเป็นอะไรที่สร้างแรงบันดาลใจ สร้างแรงผลักดัน และจุดประกายผู้คน อย่างน้อยแค่ทำให้นักอ่านได้กำลังใจสู้ชีวิตต่อไปก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ แล้ว ลองถามตัวเองก่อนเขียนนิยายดูว่า “ถ้าฉันเป็นนักอ่าน ฉันจะได้อะไรหลังจากอ่านเรื่องนี้จบ” สิ รับรองว่าไอเดียเขียนนิยายจะพรั่งพรูออกมามากมายเลย

 

Clip

Shawn Mendes - Lost In Japan

นอนหลับแล้วฝัน เลยนำมาสู่บทเพลงรักที่มียอดวิวกว่า 70 ล้าน!

เคยฟังเพลง “Lost In Japan” ของชอว์น เมนเดสไหมคะ? เนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวของชายหนุ่มที่พบรักกับหญิงสาวในญี่ปุ่น แม้ว่าจะกลับประเทศตัวเองไปแล้ว ทว่าในทุกๆ วันกลับยังคิดถึงแต่เธอคนนั้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฟังแล้วคิดว่าน้องชอว์นต้องอินเลิฟแน่นอนล่ะสิ เพลงถึงได้หวานจนมดขึ้นปานนี้ แต่จะบอกว่าความจริงแล้วไม่ใช่ค่ะ (หรืออาจจะใช่แต่เราไม่รู้) เพราะที่มาของเพลงไม่ธรรมดา เนื่องจากชอว์น เมนเดสยอมรับเลยว่าเบื้องหลังของ Lost in Japan มาจากความฝัน!! 

“ผมฝันว่าผมหลงทางในประเทศนี้ แล้วผมก็ตื่นขึ้นในวันถัดมา ตอนนั้นเรามีเปียโนและเพลงนี้ก็เกิดขึ้น” ชอว์นเล่าให้ทางบิลบอร์ดฟัง แถมยังอธิบายให้ฟังต่ออีกว่า ในระหว่างที่เขาแต่งเพลงนี้ เขาหมกมุ่นอยู่กับการฟังเพลงของจัสติน ทิมเบอร์เลกมากมาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเขียน “Lost In Japan” ทำให้เพลงนี้มีกลิ่นอายของ R&B สูงมาก

จะว่าไปแล้ว ความฝันเองก็เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีของผลงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก เช่น เพลง นิยายและภาพยนตร์ พี่เคยได้ยินมาว่าสตีเฟน คิง เจ้าพ่อนิยายแนวสยองขวัญได้แรงบันดาลใจในการเขียนนิยายมาจากความฝันเยอะมาก แล้วผลงานแต่ละเรื่องก็โด่งดังด้วย หรือแม้กระทั่งแฟรงแกนสไตน์ โดยแมรี เชลลีย์ และทไวไลท์ โดยสเตฟานี่ เมเยอร์เองก็ได้แรงบันดาลใจมาจากความฝันเช่นกัน  โดยเฉพาะทไวไลท์เนี่ย นักเขียนฝันเห็นเด็กผู้ชายที่เป็นแวมไพร์ ซึ่งมีผิวเปล่งประกายระยิบระยับราวกับเพชรเลยล่ะ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของนวนิยายที่ขายดีถล่มทลายทั่วโลก

เพราะงั้น “การหยิบความฝันมาสร้างเป็นแรงบันดาลใจ” จึงเป็นหนึ่งในเทคนิคน่าสนใจจากชอว์น เมนเดสที่น่าลองหยิบไปใช้ จริงอยู่ที่เราอาจจำความฝันได้ไม่มากนัก แต่ถ้าเรารีบจดทันทีที่ตื่นขึ้น เราก็สามารถนำไปต่อยอดจนเกิดพล็อตบางอย่างที่ทำให้งานของเราโดดเด่นและแตกต่างได้ เพราะความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่แน่นะ ถ้าหยิบเรื่องราวในฝันของเรามาเขียน เราอาจจะได้ผลงานปังๆ ดังเช่นชอว์น เมนเดสที่สร้างสรรค์บทเพลง Lost In Japan จนติดหู หรือเมเยอร์ทำให้คนหลุดเข้าไปในโลกของแวมไพร์ทไวไลท์ค่ะ

 

Clip

Shawn Mendes - Nervous

หยิบบุคลิกของตัวเองมาใส่ในบทเพลงจนทำให้แฟนๆ เขินจนอมยิ้ม

“Nervous” เป็นเพลงชิลๆ แต่ฟังแล้วสัมผัสได้ถึงคาแร็กเตอร์ของคนมองโลกในแง่ดีที่ทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องอยู่กับคนที่เขาแอบชอบ ดูไปแล้วชอว์น เมนเดสอาจจะหยิบจับบุคลิกคนทั่วไปมาสร้างเป็นตัวละครในเพลง แต่ความจริงแล้วเขาใส่ตัวเองลงไปในเพลงนี้ต่างหาก!

“พูดจริงนะ ผมประหม่าทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าผู้หญิงทุกคน ซึ่งนั่นฟังดูโง่และน้ำเน่ามาก” ชอว์น เมนเดสสารภาพกับเว็บไซต์ EW “สิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือ เพลงนี้ฟังเหมือนเป็นเพลงเจ้าชายสุดเซ็กซี่ ดูมีความมั่นใจสุดๆ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย ทั้งหมดมันเกี่ยวกับความกังวลใจ แต่ผมคิดว่านั่นก็เจ๋งนะ ผมภูมิใจในสิ่งนั้นจริงๆ”

พี่มองว่าการที่เพลง Nervous ได้ยอดวิวไปเกือบ 90 ล้านบนยูทูป นอกจาก MV ที่ทำให้แฟนๆ เขินและอยากเป็นมือนั้น (อยากจริงๆ นะ) ยังเป็นเพราะชอว์น เมนเดสได้ใส่ความเป็นตัวเองลงไปในเนื้อเพลงที่แต่ง ทำให้คนฟังสัมผัสได้เลยว่าบุคลิกจริงๆ ของเขาเป็นหนุ่มขี้อายและมักเขินเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวๆ ซึ่งนับว่าเป็นวิธีที่ทำให้แฟนๆ ใกล้ชิดกับชอว์น เมนเดสมากขึ้น ฟินไปอีก 

ถ้าหากมองในเชิงของการเขียนนิยายแล้วล่ะก็ การใส่ตัวตนของเราลงไปในคาแร็กเตอร์ไม่เพียงช่วยให้การเขียนนิยายง่ายขึ้น แต่ยังทำให้นักอ่านสามารถอินไปกับเรื่องราวและตัวละครได้ง่าย ราวกับว่าเคยสนิทสนมกันมาก่อน นั่นเป็นเพราะว่าตัวละครที่เราเขียนมีตัวตนและจิตวิญญาณของเราแฝงอยู่ ซึ่งนักเขียนชื่อดังหลายคนก็ทำแบบนี้นะ อย่างเจ.เค.โรว์ลิ่งก็ใส่บุคลิกและตัวตนของเธอลงไปในตัวละคร เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ซึ่งทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นอัตลักษณ์และบ่งบอกถึงคาแร็กเตอร์ของเจ.เค.โรว์ลิ่งชัดเจนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องรักการอ่านค่ะ เพราะงั้นถ้าชอว์น เมนเดสกับเจ.เค.โรว์ลิ่งยังใส่บุคลิกหนึ่งของตัวเองลงไปในผลงานได้ ทำไมนักเขียนอย่างเราจะทำไม่ได้ล่ะ 

 

Clip

Shawn Mendes - There's Nothing Holdin' Me Back

บางครั้งแรงบันดาลใจก็มาจากแค่ต้องการเขียนถึงผู้หญิงในจินตนาการเฉยๆ

ย้อนกลับไปปี 2016 เพลง   "There’s Nothing Holdin’ Me Back"   จากอัลบั้ม Illuminate ของชอว์น เมนเดสถือว่าโด่งดังปังเป็นพลุแตกด้วยยอดวิว 841 กว่าล้านบนยูทูป ชอว์นแสดงให้เราเห็นว่าการตกหลุมรักนั้นมีความซับซ้อน เขาหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแบบสุดๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอคนนั้นไม่ได้ดีสำหรับเขาจริงๆ 
 

I wanna follow where she goes
I think about her and she knows it
I wanna let her take control

‘Cause everytime that she gets close, yeah
She pulls me in enough to keep me guessing
And maybe I should stop and start confessing

(ผมอยากจะตามไปในที่ที่เธอไป ผมคิดถึงเธอ และเธอเองก็รู้ ผมอยากให้เธอเป็นคนควบคุม
เพราะว่าทุก ๆ เวลาที่เธอได้เข้ามาใกล้นั้น เธอดึงผมเข้ามาให้พอที่จะทำให้ผมนั้นคาดเดาไป
และบางทีผมควรจะหยุด และเริ่มสารภาพ สารภาพกับเธอ)

(ขอบคุณบทเพลงแปลจาก https://www.educatepark.com)
 

ฟังดูเหมือนว่าชอว์นกำลังมีปัญหากับเธอคนนี้นะ แต่นั่นหยุดเขาไม่ได้หรอก   ฟังแล้วอาจตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่เป็นอัตชีวประวัติของชอว์น เมนเดสใช่มั้ยนะ แต่เปล่าหรอก แรงบันดาลใจของชอว์นสำหรับเพลงนี้ไม่ได้มาจากชีวิตรักของเขา ในการให้สัมภาษณ์กับ MTV เขาอธิบายว่า ความคิดนั้นแว็บเข้ามาตอนที่เขาอ่านสคริปต์สำหรับภาพยนตร์ที่ตนกำลังจะแสดง เขาชอบตัวละครหญิงในบทมากจนเขาถึงกับต้องแต่งเพลงเกี่ยวกับเธอ ซึ่งกลายเป็นว่าเพลงนี้กลับดังและปังเฉย

พิธีกร MTV แทบละลายในขณะที่ชอว์นเล่าเรื่องนี้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ชอว์นหยุดพูดเลย เขายังคงเสริมต่อว่า “ผมหมายถึงว่า มันจะเจ๋งกว่าถ้านี่เป็นผู้หญิงจริงๆ”  ไม่ต้องห่วงนะชอว์น ตอนนี้ได้เจอผู้หญิงคนนั้นแล้วนี่ 

จะว่าไปแล้วเหมือนกับการเขียนแฟนฟิคเลยเนอะ หากว่านักเขียนอย่างเรากำลังตันๆ อยู่ ลองวิธีนี้ก็ไม่เลว มโนภาพคนที่เราชื่นชอบเพื่อเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแรงผลักดันในการเขียน จากนั้นแค่เขียนนิยายเพื่อสื่อถึงเขา ใส่ให้ไปเต็มที่ เพียงแค่นี้อารมณ์ก็มาเต็ม รับรองว่าไหลลื่นแน่นอน

 

Clip

Shawn Mendes - Youth ft. Khalid

ตอบ   3 คำถามสำคัญก่อนลงมือเขียนจริงๆ

สำหรับชอว์น เมนเดส การแต่งเพลงรักถือว่าง่ายที่สุด แต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องมาแต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิต หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเอง เช่นเพลง In My Blood หรือ Youth หนุ่มชอว์นถึงขั้นกุมขมับเพราะมันเป็นเรื่องที่ยากกว่า อย่างไรก็ตาม เขาสามารถเอาชนะอุปสรรคสุดท้าทายนี้ได้เมื่อเจ้าตัวขุดสมองมาตอบคำถาม 3 ข้อสำคัญต่อไปนี้ ซึ่งเป็นคำถามที่ชอว์นถามตัวเองทุกครั้งที่ต้องแต่งเพลงขึ้นมา โดยนักเขียนอย่างเราสามารถหยิบไปปรับใช้ตอนก่อนเริ่มเขียนนิยายได้เลยนะ
 

01   เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? 

คำถามแรกที่ชอว์นถามตัวเองเพื่อหาว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้าง แล้วเขาสามารถหยิบเรื่องราวไหนมาแต่งเป็นเพลงได้ หากเป็นนักเขียนอย่างเรา คำถามนี้เหมาะกับการเริ่มสร้างพล็อตเรื่อง หรือแม้กระทั่งตั้งคำถามเพื่อพัฒนาตัวละครค่ะ เช่น หากคิดพล็อตไม่ออก ให้ลองถามตัวเองด้วยคำถามนี้ดู เราอาจได้เรื่องบางอย่างในชีวิตมาต่อยอดเป็นพล็อต ขณะที่การตั้งคำถามนี้กับการพัฒนาตัวละคร มันจะช่วยให้เราเข้าใจตัวละครมากขึ้น
 

02   มันส่งผลกระทบกับฉันในทางดีได้อย่างไร?

เรื่องราวที่เราได้มาหรือกำลังจะเขียนส่งผลกับเรา / สังคม / คนรอบข้าง ยังไงในทิศทางที่ดี ตรงกันข้าม หากเรากำลังพัฒนาตัวละคร เราก็สามารถถามได้ว่า เหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นจะกระทบกับตัวละครในทิศทางที่ดียังไง? ทัศนคติ มุมมอง ความคิด ชีวิต พฤติกรรมของตัวละครจะเป็นไปในเชิงบวกยังไง เช่น การที่ชอว์นเจอกับภาวะโรควิตกกังวลทำให้เขาเจอจุดแข็งของตัวเองแล้วนำมาแต่งเป็นเพลงสร้างกำลังใจกับคนได้ ซึ่งถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลง In My Blood
 

03   มันส่งผลกระทบกับฉันในทางแย่อย่างไร

เรื่องราวที่เราได้มาหรือกำลังจะเขียนส่งผลกับเรา / สังคม / คนรอบข้าง ยังไงในทิศทางที่ไม่ดี ตรงกันข้าม หากเรากำลังพัฒนาตัวละคร เราก็สามารถถามได้ว่า เหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นจะกระทบกับตัวละครในทิศทางที่ไม่ดียังไง? ทัศนคติ มุมมอง ความคิด ชีวิต พฤติกรรมของตัวละครจะเป็นไปในเชิงลบยังไง เช่น การที่ชอว์นเจอกับภาวะโรควิตกกังวลทำให้เขาท้อแท้ สิ้นหวัง 
 

หลังจากที่ตอบ 3 คำถามเหล่านี้ได้แล้ว หนุ่มชอว์นแนะนำให้เราลงมือเขียนทันที! แล้วจะรู้ว่าการเขียนไม่ยากเลย “เพลงรักสามารถเป็นเรื่องราวได้ คุณจะไม่มีทางรู้ว่ามันเป็นเรื่องราวหรือเมื่อมันเกิดขึ้นกับใครบางคน ซึ่งทำให้มัน (การแต่งเพลง) ง่ายขึ้นมาก” ชอว์นปิดท้าย

 


(via: mv senorita)
 

เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องราวที่พี่นำมาฝากในวันนี้ หวังว่าจะสร้างแรงบันดาลใจ หรือช่วยให้น้องๆ มีไอเดียในการเขียนนิยายมากขึ้นนะคะ แม้ว่าชอว์น เมนเดสจะเป็นนักร้องและนักแต่งเพลง แต่พี่มองว่ากระบวนการก็ไม่ต่างจากนักเขียนที่ต้องเขียนนิยายนั่นแหละค่ะ มันต้องเริ่มจากแรงบันดาลใจ แพชชั่น และการใส่ตัวตนของเราลงไป

เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้คือ “การฝึกฝน” น้องๆ รู้มั้ยว่ากว่าชอว์น เมนเดสจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องฝึกฝนและพยายามเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยลงเรียนคอร์สเล่นกีตาร์จากสถาบันไหน แต่เรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านยูทูปเป็นประจำ ทุกวันหลังเลิกเรียน ชอว์นจะรีบกลับบ้านเพื่อนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ดูยูทูปและฝึกฝนกีต้าร์ตั้งแต่ห้าโมงถึงสองทุ่มทุกวัน จนในที่สุดเขาก็เชี่ยวชาญมัน

เช่นเดียวกับการเขียนนิยายนั่นแหละค่ะ แม้ว่าตอนแรกเราจะเขียนไม่ได้ดี เขียนแย่ เขียนห่วย แต่ถ้าเราเขียนมันทุกวัน ฝึกฝน อ่านหนังสือบ่อยๆ จนชิน เราก็จะเก่งขึ้นและมีผลงานที่ดีออกมาเหมือนอย่างชอว์น เมนเดสที่มีผลงานเพลงเพราะๆ   ออกมาให้พวกเราฟังแน่นอน เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ    ^   ^

 

พี่น้ำผึ้ง :)

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

https://people.com/celebrity/divergent-author-veronica-roth-says-anxiety-inspired-books/
https://www.dek-d.com/board/view/3842596/
https://www.youtube.com/watch?v=WNfeMR4PG2g
https://ew.com/music/2018/05/23/shawn-mendes-is-taking-control-of-his-chaos/
https://www.youtube.com/watch?v=3enc3gV7TaE&feature=youtu.be&t=132
https://www.thefader.com/2016/07/26/shawn-mendes-interview-illuminate
http://callmehannah.ca/what-you-need-to-know-about-shawn-mendes/
https://celebmix.com/shawn-mendes-songwriting-reflection-mature-self/


 

Deep Sound แสดงความรู้สึก

พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Hameii Member 30 พ.ย. 62 14:25 น. 1

บทความคุณภาพ ฮืออออ

ตามชอว์นจากvine ตอนนั้นไม่คิดเลยว่าเขาจะมาไกลขนาดนี้ ชอบทุกเพลงของเขา มันมีพัฒนาการ มีเรื่องราวซ่อนอยู่ในทุกเพลง จำได้ว่าตอนin my bloodปล่อยออกมา เราฟังไปน้ำตาไหลไป สื่อถึงใจมากๆ เลยค่ะ

ขอบคุณมากๆนะคะ ตั้งใจอ่านมาก แง รักชอว์นนนนนนน

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

2 ความคิดเห็น

Hameii Member 30 พ.ย. 62 14:25 น. 1

บทความคุณภาพ ฮืออออ

ตามชอว์นจากvine ตอนนั้นไม่คิดเลยว่าเขาจะมาไกลขนาดนี้ ชอบทุกเพลงของเขา มันมีพัฒนาการ มีเรื่องราวซ่อนอยู่ในทุกเพลง จำได้ว่าตอนin my bloodปล่อยออกมา เราฟังไปน้ำตาไหลไป สื่อถึงใจมากๆ เลยค่ะ

ขอบคุณมากๆนะคะ ตั้งใจอ่านมาก แง รักชอว์นนนนนนน

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด