JOKER : เรียนรู้ที่จะ “มูฟออน”
ก่อนจะกลายเป็น “โจ๊กเกอร์” คนต่อไป!
สวัสดีค่ะชาวเด็กดีทุกคน ช่วงที่ผ่านมา ความเศร้าภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มของ “โจ๊กเกอร์” กลายเป็นกระแสในโลกโซเชียลจนก่อให้เกิดความหดหู่ต่อผู้ที่ได้รับชมเป็นอย่างมาก หลากหลายคำวิจารณ์ต่างมีความเห็นแตกต่างมุมมองกันออกไป บ้างมองว่านี่คือหนังที่เล่าถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่แบ่งแยกชนชั้นสูงกับชนชั้นล่างออกจากกัน บ้างมองว่าโจ๊กเกอร์คือตัวแทนของคนป่วยทางจิตที่สังคมไม่พยายามเข้าใจ และมองว่าหนังเรื่องนี้อาจก่อให้เกิดความรุนแรงได้ เนื่องจากโจ๊กเกอร์ใช้ความรุนแรงในการเอาคืนแบบตาต่อตาฟันต่อฟันนั่นเอง
และหากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่องโจ๊กเกอร์ 2019 มาแล้ว จะเห็นว่าหนังเรื่องนี้ นอกจากจะมีเนื้อหาที่ร้ายจนตลกไม่ออกแล้ว ก่อนที่ “อาเธอร์ เฟล็ก” จะกลายเป็น “โจ๊กเกอร์” อย่างไม่มีวันหวนกลับคืนสู่ชีวิตของคนธรรมดาได้อีก เขาได้ให้บทเรียนการใช้ชีวิตกับเราโดยสอนให้เรา “ไม่ยอมแพ้” ต่อความหวัง และความฝันที่มีอยู่ แม้ว่าจะเจออุปสรรคยากเย็นขนาดไหนก็ตาม รวมถึงสะท้อนให้เห็นว่าชีวิตของเราแม้จะถูกลิขิตโดยตัวเราเอง แต่สภาพแวดล้อมและสภาพสังคม สามารถหล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนที่เราไม่อยากเป็นได้เช่นกัน
พี่แนนนี่เพนมองว่าชีวิตของอาเธอร์ก่อนเป็นโจ๊กเกอร์นั้นน่าสนใจมากๆ ค่ะ แม้ว่าท้ายที่สุดเขาจะกลายเป็นวายร้ายตัวตลกที่สุดแสนจะร้ายกาจ แต่เราสามารถนำบทเรียนชีวิตของอาเธอร์มาเริ่มต้นใหม่ เรียนรู้ที่จะมูฟออนจากความเสียใจ และก้าวต่อไปข้างหน้า โดยเก็บเรื่องร้ายๆ ไว้เป็นแรงผลักดันให้เรามุ่งสู่ความสำเร็จอย่างที่ใจหวังเอาไว้ได้ค่ะ มาดูกันเลยว่าเราจะมูฟออนอย่างไรได้บ้าง!
ชวน “มูฟออน” ก่อนจะกลายเป็น “โจ๊กเกอร์” คนต่อไปกัน!
หากเราเชื่อว่ากฏหมายและความยุติธรรมไม่ได้อยู่ข้างคนที่ถูกต้องเสมอไป เราอาจจะกำลังกลายเป็น “โจ๊กเกอร์” คนต่อไปก็ได้ค่ะ เพราะเรื่องราวของโจ๊กเกอร์ 2019 เล่าถึงชายหนุ่มผู้น่าสงสารคนหนึ่งที่ชื่อ “อาเธอร์ เฟล็ก” เขาเป็นคนที่มีความฝันอยากเป็นนักแสดงตลก เพราะแม่ของเขาบอกเสมอว่า “ลูกต้องมอบเสียงหัวเราะและความสุขให้โลกใบนี้” ทว่าอาเธอร์มีอาการทางจิต คือการ “หัวเราะไม่หยุด” ทำให้ชีวิตในนครก็อตแธมของเขาไม่ราบรื่นนัก แม่ที่ป่วย ภรรยาและลูกที่ต้องดูแล กลายเป็นภาระและความรับผิดชอบที่ผลักดันให้อาเธอร์ต้องหาทางรอดให้กับครอบครัว ไปพร้อมๆ กับการทำความฝันให้สำเร็จ
โชคร้ายที่นครก็อตแธมไม่ได้เห็นความสำคัญของผู้มีอาการทางจิต ทำให้อาเธอร์ไม่ได้รับการรักษาอีกต่อไป เขาค่อยๆ ถูกสังคมที่มีการแบ่งแยกชนชั้น กดดันให้กลายเป็นคนแปลกแยก ถูกคนที่เขาเชื่อถือหลอกลวง ถูกทำร้ายทั้งทางกายและทางใจ จนไม่สามารถยืนหยัดในสังคมด้วยการเป็น “อาเธอร์ เฟล็ก” อีกต่อไปได้ ความแค้นจากการถูกกดขี่ข่มเหง การถูกมองเป็นคนไร้ค่า และการกลายเป็นตัวตลกของผู้คนในสังคม ทำให้เขากลายเป็น “โจ๊กเกอร์” อาชญากรที่ผู้คนในนครก็อตแธมต่างหวาดกลัว…
(Photo by © 2019 Warner Bros. Entertainment Inc.)
จากที่เล่าเรื่องย่อให้ฟัง เส้นทางชีวิตของอาเธอร์ค่อนข้างบีบคั้นหัวใจของคนหาเช้ากินค่ำ คนที่โดดเดี่ยวในสังคม และคนที่มีอาการป่วยทางจิต ไม่แปลกใจเลยค่ะที่เรื่องราวของโจ๊กเกอร์จะทำให้ผู้คนหดหู่เพราะหวนคิดถึงชีวิตของตนเองไปด้วย อาจกล่าวได้ว่าเราทุกคนล้วนมีเศษเสี้ยวของอาเธอร์อยู่มากน้อยแตกต่างกันไป ความไม่พอใจ และความเจ็บแค้นต่อผู้คนที่เราสั่งสมคนละเล็กคนละน้อย ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวตนของโจ๊กเกอร์ขึ้นมา ซึ่งไม่แน่ว่าเราเองก็อาจเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้เกิดโจ๊กเกอร์คนต่อไปขึ้นมาได้เหมือนกัน ฉะนั้น มาเรียนรู้การมูฟออนกันเถอะค่ะ
เรียนรู้ที่จะ “รักตัวเอง” ก่อนจะทำให้ผู้อื่นยอมรับ
อาเธอร์ก่อนเป็นโจ๊กเกอร์ได้สะท้อนให้เราเห็นความทุกข์และความเศร้าภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ เขาเป็นวายร้ายที่มีต้นกำเนิดชีวิตที่สุดแสนจะธรรมดา มีช่วงเวลาที่ต้องหาเงินเพื่อดูแลคนครอบครัว ถูกผู้คนในสังคมดูถูกเหยียบย่ำในสิ่งที่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะเป็น (อาการทางจิต) แม้ว่าเขาจะรักตัวเองด้วยการพยายามไปรักษาอาการสม่ำเสมอ แต่สังคมที่ไม่ได้พยายามเข้าใจผู้มีอาการป่วยทางจิต ทำให้เขาต้องเผชิญกับความเลวร้ายนับครั้งไม่ถ้วน อาเธอร์จึงกลายเป็นคนที่โหยหาการยอมรับจากผู้อื่น พยายามวิ่งเข้าหาความสำเร็จอยู่เสมอ จนมองข้ามความรู้สึกภายในจิตใจของตัวเองว่าตอนนี้เป็นเช่นไร ยังไหวอยู่ไหม เขาสนใจแต่คนอื่นจนลืมมองว่าตัวเองนั้นเริ่มอ่อนแอ และแบกรับความทุกข์ต่อไปแทบไม่ไหวแล้ว
นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อาเธอร์ค่อยๆ กลายเป็นโจ๊กเกอร์ การที่เขามองไม่เห็นตัวเองว่าตัวเองเป็นอย่างไร และไม่กล้าเผชิญหน้ากับความอ่อนแอที่เกิดขึ้น จนทำให้ความรู้สึกภายในถูกสั่งสมจนอัดแน่น คำพูดที่เขาบอกว่า “ผมเพิ่งคิดมุกตลกได้ แต่ผมจะไม่เล่า เพราะยังไงคุณก็ไม่แคร์” เราสามารถสื่อความหมายออกมาได้หลากหลายแง่มุม แต่มุมหนึ่งที่น่าสนใจคือ เขาไม่มีใครที่พร้อมรับฟังเขาอย่างจริงใจ นั่นเอง แล้วเราจะทำอย่างไรหากเราก็ไร้คนที่จะหันหน้าพูดคุยกันได้ หรือบางทีเราอาจไม่มีแม้แต่คนที่จะรับฟังเราอย่างจริงใจ วิธีที่จะทำให้เรามูฟออนก่อนจะกลายเป็นคนที่เราไม่อยากเป็นได้ก็คือ เราต้องอนุญาตให้ตัวเองอ่อนแอ และเผชิญหน้ากับความจริงค่ะ ตอนนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น เราต้องหยุดและทบทวนตัวเอง อย่ามุ่งไปข้างหน้าแล้วทิ้งปัญหาไว้ข้างหลังเหมือนดังที่อาเธอร์ทำ เมื่อเรายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เราจะมองเห็นโลกความเป็นจริง และมองเห็นทางออกของปัญหาชัดเจนขึ้นค่ะ
(Photo by © 2019 Warner Bros. Entertainment Inc.)
เรียนรู้ “การเป็นตัวของตัวเอง” ในแบบที่ไม่ทำร้ายใคร
เพราะอาเธอร์อยากได้รับการยอมรับ ทำให้ที่ผ่านมาเขาเป็นตัวของตัวเองน้อยมาก ไม่สามารถทำอะไรตามใจหวังได้ แต่เมื่อเขาเป็นโจ๊กเกอร์ เขาสามารถเป็นตัวของตัวโดยไม่ต้องแกล้งทำได้ ทว่าการเป็นตัวของตัวเองขณะเป็นโจ๊กเกอร์นั้น อาจไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของอาเธอร์ค่ะ โจ๊กเกอร์เข้ามาทำลายความรู้สึกนึกคิดของอาเธอร์ที่เคยอ่อนแอ และแคร์ผู้อื่นจนหมดสิ้น ความเจ็บช้ำน้ำใจที่ถูกปฎิบัติเหยียดหยามจากผู้อื่น ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแก้แค้น และพาตัวเองไปอยู่ในสายตาของผู้คนในนครก็อตแธมโดยไม่สนใจความถูกผิด เพราะเมื่อตอนที่เขาเป็นอาเธอร์เขาต้องทนเป็นคนในแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น เป็นคนผิดปกติที่แปลกแยกจากสังคม แต่เมื่อเขาเป็นโจ๊กเกอร์ เขาสามารถทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่เขาอยากทำภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ไม่เคยมีรอยยิ้มที่แท้จริงอีกเลย
ดังนั้น เราจงเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนจะถูกจากสภาพแวดล้อม ผู้คน และสังคม หล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนที่ไม่สนใจใยดีผู้อื่น และทำเพื่อตัวเองจนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เราสามารถใช้ชีวิตเป็นอาเธอร์ได้ค่ะ แต่เป็นอาเธอร์ในแบบที่กล้าเป็นตัวของตัวเอง และไม่ถูกแรงกดดันของสังคมครอบงำให้เรากลายเป็นคนที่เราไม่อยากเป็น
เรียนรู้ว่าชีวิต “มีความผิดหวัง” เป็นกำแพงให้เราปีนข้าม
ชีวิตคนเราอยู่ได้ด้วยความหวังค่ะ อาเธอร์เองก็เช่นกัน เขาหวังอยากเจอพ่อ และฝันอยากเป็นนักแสดงตลกที่ผู้คนยอมรับ แต่เมื่อมีความหวังก็ต้องมีความคาดหวังว่าเราจะสมหวังใช่ไหมคะ นี่แหละค่ะเป็นจุดกึ่งกลางที่จะพาเรามูฟออนเป็นวงกลม เราไม่สามารถมีความหวัง โดยไม่หวังให้สำเร็จได้หรอกค่ะ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวัง อาเธอร์ไม่เคยยอมแพ้นะคะ เขายังเชื่อว่าชีวิตเขาจะดีขึ้นได้ ขอเพียงแค่เขาพยายามมากกว่านี้ และไม่ย่อท้อ ทว่าปัจจัยชีวิตของเราไม่อาจหมุนวนอยู่รอบตัวเราได้เพียงคนเดียว สังคมที่อยู่รอบกายเรา เป็นทั้งแรงกระตุ้นและแรงกดดันที่ทำให้เราเกิดความคาดหวังขึ้นมา แล้วเมื่อเราล้มเราทำอย่างไรคะ เมื่อไม่เป็นดั่งหวังเราเผชิญหน้ากับความผิดหวังนี้อย่างไร
(Photo by © 2019 Warner Bros. Entertainment Inc.)
หากยกตัวอย่างการมูฟออนจากที่กล่าวมา ถ้าเราอนุญาตให้ตัวเองอ่อนแอ เราจะเห็นว่าวันนี้เราก็แค่ผิดหวังเท่านั้นค่ะ เรายังไปต่อได้ แต่หากเราเก็บความผิดหวังสะสมไว้ในใจทุกครั้ง อาจจะทำให้เรากดดันและรู้สึกว่าความพยายามของเราช่างสูญเปล่าเสียจริงก็ได้ คำแนะนำที่ดีที่สุดในการรับมือกับความผิดหวังไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับเรื่องอะไรก็ตาม จงมีสติ และอยู่กับปัจจุบันค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่าใครจะมาด่ามาว่าเราอย่างไร ให้เซฟตัวเอง รักตัวเองก่อน แล้วเราจะเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น พร้อมเริ่มใหม่ และไม่หันหลังกลับไปตอกย้ำความผิดหวังกับตัวเองแน่นอน
…………..
หากเราจดจำทุกความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนเพื่อก้าวต่อไป เราจะได้เรียนรู้หนทางชีวิตใหม่ๆ แต่หากเรานำทุกความผิดพลาดมาคอยตอกย้ำตัวเอง เราจะได้บทเรียนชีวิตที่เต็มไปด้วยความขมขื่น ฉะนั้น พี่แนะนำให้มูฟออนค่ะ จะจำหรือจะลืมก็แล้วแต่เลยค่ะ อยากให้ทุกคนได้เห็นว่าโจ๊กเกอร์ก็คือตัวเราที่ไม่สามารถมูฟออนจากความผิดหวังและความเจ็บช้ำที่ถูกกระทำได้ เราสามารถเตือนสติตัวเองได้ตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้เรากลายเป็นคนที่เราเป็นในแบบที่ดีที่สุด แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ มีแหว่งไปบ้างบางช่วงชีวิต แต่พี่ก็อยากให้เรามีวิธีจัดการกับตัวเอง รักตัวเอง และไม่ทำร้ายผู้อื่นจนทำให้เขากลายเป็น “โจ๊กเกอร์” คนต่อไปค่ะ
พี่แนนนี่เพน
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
https://editorial.rottentomatoes.com/article/joker-first-reviews-give-joaquin-phoenix-the-oscar-already/
https://www.theverge.com/2019/8/28/20836954/joker-final-trailer-standalone-movie-dc-comics-todd-phillips-joaquin-phoenix-gritty
https://www.warnerbros.com/movies/joker
1 ความคิดเห็น