"ใบสน" เปิดพาร์ตชีวิตคนเขียนบทละคร
รีวิวจัดเต็ม นิยายแนวไหนยากสำหรับการทำเป็นละคร!
สวัสดีค่ะชาวเด็กดีทุกคน หากพูดถึงอาชีพคนเขียนบทละคร เชื่อว่าต้องมีนักเขียนเด็กดีหลายคนใฝ่ฝันอยากก้าวไปทำอาชีพนี้กันอยู่แน่ๆ ยิ่งช่วงที่ผ่านมามีนิยายเด็กดีกลายเป็นละครไปแล้วหลายเรื่อง นักเขียนหลายๆ คนก็คงอยากจะลองเขียนนิยายให้สามารถนำไปสร้างเป็นละครกันได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคำถามสงสัยกันอยู่ว่าการเขียนนิยายต่างกับการเขียนบทละครยังไง แล้วต้องเรียนเกี่ยวกับอะไรถึงสามารถไปทำอาชีพนี้ได้
วันนี้พี่แนนนี่เพนเลยขออาสาพา “พี่ใบสน” มาช่วยไขคำตอบของคำถามเหล่านี้กันค่ะ เพราะนอกจากพี่ใบสนจะเป็นนักเขียนที่อยู่กับเด็กดีมาอย่างยาวนานแล้ว พี่ใบสนยังเป็นนักเขียนบทละครโทรทัศน์ที่มีผลงานมาแล้วมากมาย เช่น นิยายกลายเป็นซีรีส์เรื่อง Boy For Rent ผู้ชายให้เช่า และ Blacklist นักเรียนลับบัญชีดำ พี่ใบสนก็เป็นหนึ่งในทีมเขียนบทละครด้วยเช่นกัน ดังนั้น ถ้าหากจะหาใครสักคนมาช่วยให้คำตอบกับพวกเราทุกคนได้ดีที่สุด พี่ใบสนก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าใจทั้งนักเขียน และคนเขียนบทละคร ทั้งยังสามารถแชร์ประสบการณ์ตรงให้กับพวกเราได้อย่างถึงพริกถึงขิงอีกด้วย... ว่าแล้วไม่รอช้า ตามมาอ่านกันเลย!

สวัสดีค่ะ ใบสน เองนะคะ หลายคนน่าจะพอจำนามปากกากันได้จากเรื่อง “ร้ายสุดขั้ว กะ ชั่วสุดขีด” หรือ “กวาง สอง” ที่เคยลงในเว็บ Dek-D เมื่อหลายปีก่อน(ใครรู้จักเรื่องนี้ คุณไม่เด็กแล้วนะคะ คิกๆๆๆ) หลังจากนั้นก็มีผลงานอีกหลายเรื่องเลยค่ะ เรื่องล่าสุดก็เป็น “วงกตดอกไม้”, “One Night Stand” ของสำนักพิมพ์แจ่มใส “ผู้ชาย ชา กระดังงา เล่นไฟ” ของสำนักพิมพ์ที่รัก และ “คีตาแสงจันทร์” สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ค่ะ
ตอนนี้พี่ก็เป็นนักเขียนบทละครโทรทัศน์ควบคู่ไปกับนิยายอยู่แล้ว เขียนมาหลายเรื่องแล้วค่ะ ผลงานล่าสุดที่เป็นหนึ่งในทีมบทก็จะมี “Boy For Rent ผู้ชายให้เช่า” และ “Blacklist นักเรียนลับบัญชีดำ” ค่ะ
“ใบสน” กับการเขียนบทละครโทรทัศน์ควบคู่ไปกับการเขียนนิยาย
ในปี 2020 นี้พี่เพิ่งเขียนบทละครโทรทัศน์จบไป 2 เรื่องค่ะ เรื่องแรก เรื่อง “ฟ้ามีตะวัน” ออกอากาศช่อง 7 คาดว่าน่าจะได้ดูประมาณ กันยา - ตุลา 2020 นี้ค่ะ อีกเรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่เช่นกัน คือ “สาวออฟฟิศ 2000 ปี” แสดงโดย ออม สุชาร์ , ทอย ปฐมพงศ์ และ ออฟ จุมพล คาดว่าจะออนแอร์ปลายปีนี้ หรือ อาจจะเป็นต้นปี 2021 ค่ะ
ส่วนงานเขียนตอนนี้ก็ได้ลองเขียนนิยายแนวใหม่ค่ะ เรื่อง “You, too blur ส่องหัวใจเธอให้เจอรัก” ติดตามได้ในเพจ “ใบสน - Jinatcha ” เลยนะคะ และเร็วๆ นี้ ก็เพิ่งจะลงนิยายเรื่องใหม่ (จริงๆ คือเรื่องเก่านำมารีไรท์ใหม่) ลงขายใน Dek-D ด้วยค่ะ เรื่อง “สปาร์คหัวใจ ยังไงก็ใช่เธอ” เข้าไปอ่านกันได้
อีกอย่างที่ได้ลองทำในช่วงนี้ก็คือ การแปลนิยายตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อลงจำหน่ายในแพลตฟอร์มของต่างประเทศ เช่น amazon ค่ะ ตอนนี้ก็เสร็จมาหนึ่งเรื่องแล้ว คิดว่าน่าจะทำรูปเล่มเสร็จพร้อมวางจำหน่าย ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ
“ใบสน” กับความฝันการเป็นนักเขียนบทละครโทรทัศน์
จุดเริ่มต้นก็คือ พี่อยากเป็นนักเขียนบทละครโทรทัศน์อยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มเขียนนิยายเลยค่ะ นั่นก็เพราะเป็นคนชอบดูหนัง ดูซีรีส์โดยเฉพาะของต่างประเทศมากๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเลยเลือกเรียน คณะนิเทศศาสตร์ วิทยุโทรทัศน์เพื่อจะได้ทำด้านนี้โดยตรง แล้วก็ไปเข้าชมรม เข้าอบรมที่เกี่ยวกับการเขียนบทเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมค่ะ
พอเรียนจบมา ได้รับโอกาสให้เขียนบทละครโทรทัศน์เรื่องแรกนั่นก็คือ “น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์” ทางช่อง 3 หลังจากนั้นก็รับเขียนบทละครเรื่อยมาค่ะ มีหนีไปทำงานสายงานอื่นบ้าง เช่น AE เอเจนซี่ มาร์เกตติ้งแบรนด์ แต่สุดท้ายก็วนกลับมาเขียนบทอยู่ดีค่ะ เหมือนฟ้าลิขิตมาว่า เราเหมาะกับทางนี้แหละ555

ตอบชัดจัดเต็ม “เขียนบทละคร VS เขียนนิยาย” เหมือนหรือแตกต่างกัน!
เป็นคำถามที่น้องๆ หลายคนถามพี่เข้ามามากเลยค่ะ ความแตกต่างมีเยอะมากเลย คงอธิบายได้ไม่หมด จะพยายามลิสต์ข้อหลักๆ ให้นะคะ
1. การเขียนนิยายคือการรับผิดชอบด้วยตัวเราเองเพียงคนเดียว เราต้องวางโครงเรื่อง วางคอนเซปต์ วางตีม บรรยายเรื่องราว ไดอาล็อคเองทั้งหมด ต่างจากการเขียนบทละคร ที่จะเป็นการทำงานร่วมกับทีมบท และ ผู้กำกับ โดยจะประชุมกันเพื่อหาภาพที่เห็นตรงกัน และออกแบบออกมาให้เป็นภาพเดียวกันค่ะ
2. ข้อจำกัดทางการเขียนแตกต่างกัน ถ้าเป็นนิยาย ก็จะใช้ภาษาในการสร้างภาพออกมาในหัวของผู้อ่าน ตรงนี้ก็แล้วแต่ความสามารถของนักเขียนแต่ละคนเลยค่ะ ข้อดีก็คือ เราสามารถพาตัวละครไปบุกน้ำลุยไฟ ไปกาแลคซี่หรือใต้ทะเลได้เต็มที่ ตามแต่เราจะสามารถบรรยายได้ แต่สำหรับการเขียนบท มีข้อจำกัดตั้งแต่เรื่องของงบการถ่ายทำไปจนถึงความยากง่ายในการถ่ายทำ อย่างจะไปถ่ายนอกอวกาศก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงมีผลต่อการออกแบบฉากมากเลยค่ะ การเขียนบทละครจึงมักใช้เทคนิคการหลบเลี่ยงฉากเหล่านั้น ใช้การตัดต่อเข้า การแสดง เข้าช่วยแทน
3. จากข้อจำกัดต่างๆ ส่งผลถึงสารที่จะสื่อออกมาค่ะ สังเกตว่า นิยายที่นำมาสร้างเป็นละครหรือภาพยนต์ อาจจะมีรายละเอียด หรือ บางอย่างปรับเปลี่ยนไปจากเวอร์ชั่นในนิยาย นั่นก็เพราะ สถานการณ์หรือคำพูดบางอย่าง อยู่ในนิยายได้ดี แต่ไม่เหมาะสำหรับเป็นละครหรือภาพยนตร์ค่ะ พี่เห็นบ่อยเลยเวลาคนบ่นว่า ทำไมไม่ทำเหมือนในนิยาย เชื่อเถอะค่ะว่า บางคำพูดหรือบางรายละเอียด เป็นนิยายแล้วอ่านสนุก แต่พอเป็นละครแล้วจะน่าเบื่อ หรือดูเชย ดูเขิน ยิ่งเป็นปากคนพูด ยิ่งดูไม่คุ้นปาก เอาง่ายๆว่า สำนวนในนิยาย เอามาพูดจริงๆแล้ว อาจจะดูประหลาดก็ได้ค่ะ ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างกันไปเลย บางเรื่องเป็นนิยายสนุกมาก แต่พอมาทำบทละครแล้ว ไม่สนุกเท่านิยายเลย
4. นิยายฉากนึงจะมีกี่หน้าก็ได้ ตราบใดที่คนอ่านสนุก เขาก็อ่านต่อไปเรื่อยๆ แต่กับบทละครหรือบทภาพยนตร์ ถ้าฉากไหนยาวเกินไป ตัวละครมีแต่บทพูดกันอย่างเดียว หรือตัวละครแทบไม่พูดเลย คนดูก็จะเบื่อเช่นกันค่ะ
5. นิยายเป็นความคิด ไอเดียของนักเขียนที่ต้องใช้ทักษะภาษาในการสื่อสารของนักเขียนออกมาให้เห็นเป็นภาพ แต่กับการเขียนบทนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่างที่นักเขียนบทนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสื่อสาร เช่น การแสดง(ภาษาท่าทางของนักแสดง) แสงสีไฟในฉาก การตัดต่อ หรือ จะเป็นวิธีการซ่อนการเล่าเรื่องค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น ฉากนางเอกบอกเลิกพระเอก ถ้าเป็นนิยาย เราก็คงบรรยายว่า นางเอกรู้สึกรักพระเอกอยู่เต็มหัวใจ แต่จำเป็นต้องทำ สามารถบรรยายความรู้สึกนางเอกเพื่อให้คนอ่านเห็นภาพที่สุดได้ แต่สำหรับการเขียนบทนั้น เราไม่สามารถเล่าความคิดของนางเอกออกมาได้ (นอกจากจะใช้วิธี Voice Over หรือพูดเสียงในใจลอยๆ ออกมา) ดังนั้นจึงต้องบอกผ่านภาษาการแสดงของนางเอกว่า นางเอกหันหน้าหนีไปทางอื่นตอนพูด หรือใช้แสงสีส้มของพระอาทิตย์ตกดินย้อมสีฉาก เพื่อให้เห็นถึงอารมณ์หม่นของนางเอก

แฟนๆ สงสัย นิยายสนุกมากแต่ทำไมเป็นละครแล้วไม่สนุก (คนเขียนบทเศร้าเลย TT)
บทละครที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ก็ทำมาหลายเรื่องค่ะ ซึ่งมีทั้งส่วนที่พี่ชอบและไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ค่ะ ส่วนที่เราชอบก็คือ เราจะมีเส้นที่นำเราไปจนถึงปลายทางได้ ทำให้เรารู้ว่าจะเดินเรื่องไปทางไหน แต่ข้อเสียคือ บางอย่างเราก็จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะด้วยเหตุผลที่บอกไปข้างต้นว่า เมื่อมาอยู่ในบทละครแล้ว มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้ทำตามนิยายไม่ได้ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนแต่ละฉาก ย่อมต้องมีผลกระทบต่อเส้นเรื่อง หรือ ฉากต่อๆ ไปอยู่แล้ว ก็ต้องแก้ไขกันไปค่ะ
อีกอย่างคือ บางทีดัดแปลงจากนิยาย อาจจะโดนแฟนคลับนิยายหรือนักเขียนงอนได้ อันนี้ก็เป็นความเสี่ยงที่คนเขียนบทจะต้องยอมรับเลย5555 ซึ่งคนเขียนบทสมัยนี้ น่าสงสารมาก เวลาเขียนบทดี คนจะชมว่า สนุกเพราะนิยายสนุก แต่ถ้าบทออกมาแย่ ก็จะโดนบ่นว่า นิยายสนุกจะตาย ทำไมละครไม่สนุกเลย555 แง เศร้า
สิ่งที่ “ใบสน” มองหาเวลาอ่านนิยายเพื่อมาดัดแปลงเป็นบทละคร
เส้นเรื่องต้องแน่นและชัดเจนค่ะ ในขณะเดียวกัน ต้องเข้มข้นมากพอที่จะขยายออกมาเป็นละครหรือเป็นซีรีส์ยาวๆได้ หนึ่งฉากในนิยายที่เราอ่านอาจจะ 2-3 หน้า ก็จริง แต่เชื่อมั้ยคะว่าแปลงมาเป็นบทละครได้เพียงแค่ ครึ่งหน้าเอสี่ หรือ แค่ 2-5 นาที เมื่อถ่ายทำออกมา ผ่านกระบวนการตัดต่อแล้วเท่านั้น
บางคนอาจจะแปลกใจว่า นิยายหนึ่งเล่มหนามากๆ ทำไมพอมาทำเป็นซีรีส์แล้ว ยังต้องมีเส้นเรื่องอื่นๆ เพิ่มเข้าไปอีก เหตุผลคือ เนื้อไม่พอค่ะ บางทีเราเห็นว่าแต่ละฉากในนิยายยาวมาก แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการบรรยายความรู้สึก บรรยายฉาก ซึ่งไม่เพียงพอต่อการนำมาเขียนเป็นบทละครอยู่แล้วค่ะ ในการเขียนบทละครจึงจำเป็นจะต้องใส่เส้นเรื่องบางอย่างเพิ่มลงไปด้วยค่ะ
ตอบชัดๆ ว่า ไม่มีนิยายแนวไหนที่ยากสำหรับการทำเป็นละคร
ทุกแนวทำเป็นละครได้หมด แต่นิยายที่เส้นเรื่องไม่ชัด สถานการณ์น้อย ใช้การบรรยายในการนำเรื่องส่วนใหญ่ อีกทั้งความต้องการของตัวละครยังไม่ชัดเจน ตรงนี้จะทำให้เวลาแปลงเป็นบทละคร ยากมากเลยค่ะ
ต้องระวัง! เมื่อต้องดัดแปลงบทละครจากบทประพันธ์
การดัดแปลงบทละครจากบทประพันธ์นี่แหละค่ะ ต้องระวังสำหรับพี่ 5555 ความจริงพี่อยากจะคงออริจินอลไว้ให้มากที่สุดนะคะ แต่บางทีด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เลยจำเป็นต้องเปลี่ยน เช่น ยุคสมัยนี้ต้องนำเสนอให้น่าสนใจขึ้น หรือ ผู้กำกับอาจจะมองว่าถ้าคงของเดิมไว้ จะทำให้ถ่ายทำยาก หรือ ปัญหาที่ตัวนักแสดงเอง หรือ งบถ่ายไม่ถึง 5555 เหตุผลหลากหลายกันไปค่ะ สำหรับพี่ การจะเปลี่ยนแปลงอะไร ต้องมีเหตุผลที่สมควรเสมอค่ะ
อีกเรื่องที่ต้องระวังคือ ความถูกต้องของเนื้อหาที่จะนำเสนอค่ะ เช่น อาการเจ็บป่วย โรคจริงๆ การปฐมพยาบาล เราต้องสื่อสารทุกอย่างตามความจริงเพื่อไม่ให้ผิดเผกไปจากเนื้อหาเดิมค่ะ แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่า บทเขียนจากทีมบทก็จริง แต่เมื่อไปอยู่ในมือนักแสดงและผู้กำกับแล้ว ก็ต้องเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะสร้างออกมาให้ผู้ชมได้เห็นค่ะ ดังนั้นภาพบางอย่าง อาจจะผิดเผกไปจากสิ่งที่เขียนบทได้เขียนเอาไว้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ

เขียนบทละคร ข้อมูลต้องแน่น และต็มไปด้วยการหาแรงบันดาลใจ
ทำเรื่องเกี่ยวกับอะไร พี่จะปรึกษาคนที่ทำอาชีพนั้นๆ เลยค่ะ อย่างเช่นเคยเขียนเรื่องนางเอกเป็นนักแต่งเพลง ก็ไปปรึกษาพี่โอม Cocktail มาแล้ว 55555 ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแพทย์ จะปรึกษาคุณหมอค่ะ หมอที่ปรึกษาบ่อยคือ หมอตั๊กกี้ แห่งเพจ แพทย์สาวค่ะ (ถือโอกาสขายพี่ตั๊กกี้ซะเลย555) แล้วพี่จะมีหนังสือเกี่ยวกับหลักการแพทย์ติดบ้านไว้ค่ะ เป็นหนังสือที่ช่วยชีวิตได้เยอะมาก จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา ยา หรือ ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ไว้ด้วย ถ้าอยากได้ละเอียดกว่านั้น ค่อยไปถามแพทย์เฉพาะทางอีกทีค่ะ
ส่วนการดูซีรีส์ก็ช่วยมากๆ เลยค่ะ เพราะพี่โตมากับซีรีส์เลย ทั้งเกาหลีและฝั่งตะวันตกเลยค่ะ มันทำให้เราเห็นมุมมอง บริบท สถานการณ์ โครงเรื่อง และรูปแบบการเล่าที่หลากหลาย เอามาพัฒนางานของเราเองในอนาคตค่ะ หรือบางทีเวลาเจอบทความเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ และคิดว่าหาอ่านไม่ได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ต พี่ก็จะเซฟเก็บไว้ค่ะ ไว้เมื่อไหร่เราต้องเขียนแนวนี้ ค่อยมาอ่าน บางทีก็ช่วยได้มาก
อยากเป็นนักเขียนบทละคร ไม่ต้องจบตรงสาย แค่ต้องกล้าเรียนรู้
ตอนพี่อยากเป็นนักเขียนบทละครโทรทัศน์ หาข้อมูลยากมากกกกค่ะ ไม่มีใครเคยมาแชร์ประสบการณ์เลย ตอนเรียนปี 1 ได้เจอรุ่นพี่ที่เขียนบทละครโทรทัศน์ จำได้ว่า ตื่นเต้นดีใจมาก ถามเขาเป็นสิบๆคำถามเลย ยังจำได้เลยว่า พี่เขาตอบว่าอะไร ซึ่งทำให้พี่คิดว่า ถ้าอนาคต มีโอกาส ก็อยากจะถือโอกาสนี้มาบอกน้องๆ ที่สนใจในอาชีพนี้ดูค่ะ
อันดับแรกเลย คือต้องอ่าน หรือ ต้องดูเยอะๆ ค่ะ นักเขียนบทละครโทรทัศน์และนักเขียนนิยายจะคล้ายๆ กันตรงที่ ถ้าเราไม่รับอะไรเข้ามา จะไม่มีอะไรออกไปจากตัวเราได้เลย ดังนั้นเราต้องเติมตัวเองเยอะๆ ด้วยการดูหรืออ่านเยอะๆ จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นแก้วว่างๆ ที่ต้องเติมน้ำตลอดเวลาค่ะ อย่าได้คิดว่าตัวเองดูเยอะเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้เราจนมุมอีโก้ตัวเอง
ต่อมาคือ ลองดูเรื่องที่ชอบซ้ำค่ะ แล้วค่อยๆ ซึมซับเทคนิคของเขาทีละนิด สังเกตดูว่า แต่ละฉากของเขา เริ่มด้วยอย่างไร จบด้วยอะไร จุดประสงค์ของฉากนั้นคืออะไร ตัวละครต้องการอะไร ค่อยๆ ไขไปทีละนิดก็ได้ค่ะ เรียนรู้ด้วยตัวเองก็ไม่ได้ยากมากนัก
ลองอ่านหนังสือหรือหาเวลาไปร่วมอบรมดูค่ะ แต่ไม่จำเป็นต้องลงคอร์สอบรมแพงนะคะ ตอนนี้พี่เห็นมีคอร์สอบรมเขียนบท หรือเขียนนิยายราคาแพงเยอะมาก คอร์สเหล่านั้นไม่ได้การันตีว่าเราจะได้ทำงานหรอกนะคะ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปลงคอร์สแพงๆ เลย คอร์สที่สอนฟรีของสมาคมเขียนบท หรือ ตามช่องสถานีโทรทัศน์ ก็มีเยอะมากค่ะ
เขียนตั้งไว้ค่ะ นึกพล็อตได้ หรือนึกไอเดียได้ ก็จดไว้ เขียนตั้งเอาไว้นะคะ เผื่อวันหนึ่งเราอาจจะได้ใช้หรือส่งประกวดก็ได้
และที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องจบนิเทศศาสตร์อย่างเดียวนะคะ ในวงการ พี่รู้จักนักเขียนบทดังๆ ที่จบคณะอื่นๆ เยอะแยะมากเลย ดังนั้น แค่ใจรักก็พอแล้วค่ะ
ถ้าอยากเป็นนักเขียนบทละคร นี่คือสิ่งที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ
อย่างแรกเลยคือ เรื่องเงิน5555555 อาจจะต้องเลือกว่าจะเป็นนักเขียนบทประจำ หรือ ฟรีแลนซ์ค่ะ ประจำก็เหมือนทำงานออฟฟิศ ได้รับเงินประจำทุกเดือน ข้อดีคือ มั่นคงเพราะได้รับเงินเดือนค่ะ แต่ห้ามไปเขียนให้ใคร
ฟรีแลนซ์ก็คือรับงานอิสระ สามารถรับงานจากผู้จัดท่านไหน ช่องไหนก็ได้ จะรับงานซ้อนกัน เดือนนึงหลายๆ งานก็ได้ ขึ้นอยู่กับความขยันของเรา ข้อดีคือ เงินที่ได้ก็อาจจะมากกว่าพนักงานประจำ และสามารถรับพร้อมกันหลายๆ งานได้ แถมยังอิสระ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ แต่ข้อเสียคือ ความไม่มั่นคงนี่แหละค่ะ ถ้าไม่ได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็มีโอกาสโดนเทสูง ดังนั้น เรื่องสัญญาจึงสำคัญมากๆ เลยค่ะ
สิ่งที่ต้องเตรียมใจต่อมาก็คือ บทเหมือนเป็นลูกที่เราคลอดออกมาก็จริงค่ะ แต่หลังจากที่เรากดส่งไปแล้ว มันจะไม่ใช่ลูกของเราอีกต่อไป 5555 ในวงการจะพูดกันติดปากว่า คนเขียนบทคลอดลูกออกมา ส่งต่อให้ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ ทีมงาน นักแสดงช่วยกันเลี้ยง เมื่อวันที่ละครเสร็จสมบูรณ์ ก็จะเป็นวันที่คนเขียนบทได้เห็นว่า ลูกของเราโตขึ้นไปเป็นคนยังไง
นั่นก็เพราะ หลายอย่างที่เราเขียน อาจจะไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาจริงๆ บนจอ เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง เรื่องนี้อาจจะต้องตกลงกับทางผู้กำกับไว้ก่อนนะคะ เขาจะได้เข้าใจภาพเรา เวลากำกับออกมา จะได้ไม่ผิดพลาด แต่ถ้าหากว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราเขียน ก็อาจจะต้องยอมทำใจตามเหตุผลของเขาค่ะ เรื่องโดนสั่งแก้ก็ต้องทำใจเลยว่า โดนกันหมดค่ะ5555 คิดซะว่า จะได้พัฒนาตัวเองแทนนะคะ
อีกเรื่องนึงที่ต้องทำใจก็คือ พอมาเป็นคนเขียนบทแล้ว การดูซีรีส์ หรือหนังของเราจะสนุกน้อยลง เพราะเราจะรู้ตามทันคนเขียนบท พอจับทางได้ ก็จะเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป พี่เองก็เบื่อเหมือนกันที่บางทีเดาได้ว่าจะเป็นแบบไหน มันทำให้อรรถรสหายไปเยอะเลยค่ะ
เป้าหมายของใบสนบนเส้นทางนักเขียน ทั้งการเขียนนิยาย และการเขียนบทละคร
ตอบตามตรงแบบสวยๆ เลยก็คือ ทุกครั้งที่ดูซีรีส์ต่างประเทศดีๆ พี่จะคันไม้คันมืออย่างทำมากๆ เลยค่ะ อยากผลิตบทฉลาดๆ แบบนั้นบ้าง พี่จึงคาดหวังว่า วันหนึ่งจะสามารถขยับขยายตลาดบ้านเรา ให้สามารถผลิตคอนเทนต์สนุกๆ แบบประเทศอื่นๆ ที่เราเคยได้ดูมาได้ เป็นเหตุผลที่พี่พยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะพูดตรงๆ ว่า พี่อยากเป็นคนผลิตคอนเทนต์งานดีๆ สนุกๆ ให้ภูมิใจกับตัวเองค่ะ
ส่วนนี้นิยาย ตอนนี้มีพล็อตมากมายในหัวเลยค่ะ แต่ตอนนี้สดๆ ร้อนๆ เลยก็คือ อยากเขียนเกี่ยวกับร้านขนมไทยค่ะ เนื่องจากพี่เห็นญี่ปุ่นมักจะมีการ์ตูน ซีรีส์ หรือนิยายเกี่ยวกับขนมของญี่ปุ่นที่ทำงานและปราณีตบ่อยๆ ไทยเองก็มีขนมหวาน อร่อย ทำยาก และสวยไม่แพ้กัน เลยอยากลองเขียนสักครั้งค่ะ
เร็วๆ นี้พี่จะมีนิยายภาษาอังกฤษ ซึ่งสามารถอ่านได้ในช่องทางไหนเดี๋ยวคงแจ้งข่าวทางเพจอีกที เข้ามากดไลค์เพจกันได้ที่ เพจใบสน - Jinatcha เลยค่ะ
พี่ใบสนรีวิวจัดหนักจัดเต็มมาก! นอกจากเราจะได้รู้ว่าการเขียนบทละคร VS การเขียนนิยาย เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรแล้ว เรายังสามารถเอาบทเรียนต่างๆ ที่พี่ใบสนแนะนำ เอาไปเขียนนิยายให้กลายละครได้อีกด้วย นอกจากนี้พี่ใบสนยังตอบชัดๆ ตรงประเด็นเลยว่านิยายทุกแนวสามารถนำมาทำเป็นละครได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือเส้นเรื่องต้องแน่นและเป้าหมายของตัวละครต้องชัดเจน ถึงจะง่ายต่อการนำมาเขียนบทละคร ซึ่งใครที่อยากเขียนนิยายให้กลายเป็นละคร ก็ลองดูเคล็ดลับที่ใบสนแนะนำกันได้เลยค่ะ ถ้าพอมีไอเดียอยากเขียนกันแล้ว รออะไรอยู่ล่ะ คลิกเข้าไปเปิดชื่อเรื่อง แล้วเขียนนิยายกันได้เลย
มาเริ่มเขียนนิยาย และศึกษาการขายได้ง่ายๆ ที่ลิงก์นี้เลยค่ะ : bit.ly/writer-howto
พี่แนนนี่เพน
อ่านนิยายของ “ใบสน”


2 ความคิดเห็น
ดีจังเลยค่ะ ส่วนตัวไม่ค่อยได้เห็นบทสัมภาษณ์ของคนเขียนบทโทรทัศน์ค่ะ
สำหรับเรางานนี้ดูเป็นงานที่ยาก ท้าทายและน่าสนใจมาก ๆ ค่ะ
ขอบคุณทีมงานที่หาเรื่องที่น่าสนใจมาลงนะคะ